Google
 

18 พฤษภาคม 2553

ล่องโขงสู่หลวงพระบาง ๘ ลาก่อนเมืองมรดกโลก

ล่องโขงสู่หลวงพระบาง ๘ ลาก่อนเมืองมรดกโลก

๑๖ เมษายน ๒๕๕๓

ถึง กำหนดเดินทางกลับกันแล้ว เราจะต้องไปถึงท่าเรือในเวลา ๖ โมงเช้า และออกเดินทางในทันที เรื่องราวตลอด ๓ วันที่ผ่านมา ถูกบันทึกภาพลงกล้องที่ถ่ายได้บ้างไม่ได้บ้าง และมือถือที่พยายามจะเก็บภาพให้ได้มากที่สุด

เราทำ เวลาได้ดีมากเลยทีเดียว เพราะเรือออกตามกำหนด วันนี้เป็นวันแรกที่ได้เห็นพ ระอาทิตย์ขึ้นที่หลวงพระบาง ขณะนั่งเรืออยู่กลางน้ำโขง ตะวันขึ้นทางขวาของแม่น้ำ ทำให้ผมงงทิศทางเล็กน้อย แต่ตะวันดวงโตสีแดง ค่อย ๆ โผล่พ้นยอดเขาขึ้นมา สะท้อนผ่านลำน้ำ สวยงามดีแท้ พยายามลากกล้องที่เลนส์ไม่ปกติ บังคับให้มันทำหน้าที่ ก็พอถ่ายได้บ้างตามภาพข้างล่าง แต่ถ้าเป็นฝีมือท่านอื่นก็ได้ใส่ชื่อ กำกับไว้แล้ว

ทิวทัศน์ สองฟากฝั่งโขงในยามเช้าก็ดูแปลกตาไปอีกแบบ ขากลับเราต้องแล่นเรือทวนน้ำ ทำให้เราต้องเตรียมตัวกันแต่เช้า เพื่อเผื่อเวลาเดินทางที่จะต้องใช้มากกว่าขามาราว ๑ ชั่วโมง เรือแล่นมาได้ราว ๓๐ นาที คนขับเรือก็ชลอความเร็วลง พร้อมกับเทียบเรือเข้าฝั่งที่หมู่บ้านซ่างไห ตามที่พี่วิทูรย์ได้แนะนำ แต่ยังเป็นที่สงสัยแก่ลูกทัวร์เป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่มีอยู่ในโปรแกรมแต่อย่างใด

เรือจะ ต้องจอดครับ ไม่จอดไม่ได้เนื่องจากทีมงานลืม พาสปอร์ตของทุกคนไว้ที่โรงแรม จึงต้องให้รถวิ่งเอามาให้ ก็เลยเป็นของแถมในการได้แวะเที่ยวชมที่หมู่ บ้านแห่งนี้ ดูเหมือนบางคนอาจจะออกอาการเซ็งเล็กน้อย แต่พอไกด์บอกว่า หมู่บ้านนี้ไม่ได้ปั้นไห แต่เป็นหมู่บ้านหัตถกรรมสิ่งทอ และทำสุรา แหม..ลุง คนที่ทำท่าอิดออดว่าจะรออยู่ในเรือ ได้ยินคำสุดท้ายคำนี้ กระโจนลงเรือไปในทันใดอย่างไม่ทันเห็นหลัง ถ้าบอกอย่าง นี้แต่แรกก็คงเตรียมตัวลงกันตั้งแต่บ่ายหัวเรือมาแล้วกระมังครับ

ทีแรกผม ก็คิดว่าจำใจลงไปคร่าเวลาเล่น เมื่อขึ้นฝั่งไปเจอร้านค้า นำเสนอเหล้ายาดองงู ตะขาบ และอีกหลายขนาน มีถังต้มเหล้า และเหล้าที่กลั่นแล้วขวดละร้อยบาท แต่ข้างในมีร้านอีกหลายร้านเลย เดินเลยเข้าไปดู ตรงนี้เป็นเขตวัดของหมู่บ้าน มีร้านขายผ้าทอเหมือนที่เราไปบ้านผานม แต่เรามาที่นี้เช้า เขาเพิ่งเปิดร้าน

ผมเดิน ทะลุเขาไปในวัด ซึ่งมีบริเวณไม่ใหญ่มาก ตรงศาลายกพื้นหลังเล็ก ๆ มีพระกำลังสวดอยู่ ชาวบ้านถวายภัตตาหารกันเป็น “ขันโตก” เลยได้เก็บภาพ และรับศีลรับพรไปพร้อม ๆ กับเขาด้วย ถือว่าได้ทำบุญตอนเช้า อนุโมทนาถวายปัจจัยกันไปคนละนิดละหน่อย แค่นี้ชาวบ้านก็อนุโมทนาสาธุ ขอบคุณกันเป็นการใหญ่ เสร็จแล้วผมก็เดินไปดูผ้าอีกด้านหนึ่งของวัด แต่ไม่รู้จะซื้อฝากใคร มีหลาย ๆ คนซื้อเพิ่มอีกเยอะเหมือนกัน เพราะของที่นี่ราคาถูกกว่า แถมต่อราคาได้ด้วย ตอนกลับลงเรือจึงได้ทราบว่า ยามเช้าที่เขาเปิดร้าน เขาจะยอมขายเท่าที่เราต่อราคา เพราะถือเป็นเคล็ด

เดินไป เดินมา ดูของดูวัดและทำบุญกันไป ก็มีทีมงานมากระซิบว่า เรียบร้อยแล้ว เขาเอาของมาส่งแล้ว แหม..กำลังเดินเพลินเชียว เดินผ่านต้นขนุนอายุหลายร้อยปี จึงได้ถ่ายรูปมาให้ดูกัน

กลับมา ลงเรือกันด้วยความอิ่มเอม ที่ได้จับจ่าย ได้พักผ่อน ได้แวะไหว้พระทำบุญ บนเรือมีอาหารเช้าคือข้าวต้มหมู อร่อยดีครับ บรรจุลงท้องไป ๒ ถ้วยด้วยความเพลินในรสชาด เสร็จแล้วก็กลับมาหาความบันเทิง ในการเล่าเรื่องราวพูดคุยกันไปตามประสา ตามประสบการณ์ ๓ วันที่ผ่านมาในหลวงพระบาง

หลวงพระ บาง ได้ขึ้นทะเบียนเป็น “เมืองมรดกโลก” ซึ่งมีความโดดเด่นทางวัฒนธรรม และคงไว้ซึ่งความเป็นอย่างนั้น คือจะไม่ให้เมืองมีการเปลี่ยนแปลง ไปมากกว่านี้ ถึงอย่างไร “ความเปลี่ยนแปลง” ก็เข้ามาแทนที่ได้เสมอ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด แม้ว่าจะคงไว้ทางวัตถุ หรือทางวัฒนธรรม แต่ก็ไม่อาจทัดทานกระแสโลกาภิวัฒน์ได้ เพราะสิ่งที่จะนำพาให้สังคมเป็นอ ย่างไรนั้น ก็คือ “คนในสังคม”

คนรุ่น ใหม่ในหลวงพระบางก็เปลี่ยนวิถีชีวิตไปตามกระแสโลก หลวงพระบางจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด ก็ต้องคอยดูกันต่อไป

นั่นไม่ ใช่เรื่องที่ต้องกังวลและน่าห่วงเท่ากับ ความเปลี่ยนแปลงของบ้านเราเมืองเรา ที่ใกล้ตัวกว่า กระแสความโหยหาอดีตหรือ “ราก” ของวิถีชีวิตดั้งเดิมกันอย่างแน่น หนา แต่เพียงเวลาผ่านไปไม่กี่ปี “สังคมเปลี่ยนสังคมไปตามความต้องการ ของกลุ่มชนบางส่วนอย่างผิดวิธี” เพียงเพื่อตอบสนองความต้องการ และแสวงหาประโยชน์จากรายได้ของการมาเยือนของนักท่องเที่ยว ความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ก็ทำลายเสน่ห์แห่งสถานที่นั้นไปอย่างราบคาบ จนไม่เหลือชิ้นดี และเป็นมาแล้วหลายแห่งในเมืองไทย ที่เห็นชัดเจนกันก็ได้แก่ “ปาย” ถัดมาก็คงจะเป็น “เชียงคาน”

“นคร น่าน” ยังไม่สามารถเตรียมพร้อมที่จะเสนอตัวเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นเมือง “มรดกโลกทางวัฒนธรรม” ได้ ด้วยข้อสรุปที่ยังหาไม่ได้ในหลาย ๆ ประเด็น แม้จะทำประชาวิจารณ์กันมาแล้ว ก็ยังคิดเห็นแตกต่าง เมืองน่านจึงได้เป็นเพียงแค่ “ประตูสู่หลวงพระบาง” เพียงประเด็นแค่นี้ ก็ทำให้ถนนหนทางเจริญขึ้น ป่าไม้ก็ร่นหายไปเยอะจนน่าใจหาย ถ้าผมเป็นคนมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ผมจะยกเลิกกฎหมายที่สร้างความ คาดหวังให้คนได้จับจองพื้นที่มาเป็นของตนเองได้ เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ป่าไม้ ของจังหวัดน่านอย่างไม่อาจทัดทานได้

การเดิน ทางทางน้ำจากหลวงพระบางมาขึ้นที่ปากห้วยแคน ใช้เวลากว่า ๖ ชั่วโมง ผมจึงเหมาคาราโอเกะ แบบไม่ห่วงที่จะกินข้าวกินปลา อาหารเที่ยง จนเขากินไปหมดแล้ว มีผู้ใจดี สงสารนักร้อง เก็บอาหารบางส่วนไว้ให้ พร้อมทั้งทอดไข่เพิ่มให้ด้วย เหมือนร้องเพลงแลกอาหารเลยนะเรา

เสร็จ จากอาหารเที่ยงก็ยังมาร้องกันต่ออีก ก่อนจะเดินทางมาถึงฝั่งและมีรถ มารับเข้าด่านห้วยโก๋น และมาถึงตัวเมืองน่านในเวลาราวหกโมงเย็น แต่ก็เดินทางกันอย่างไม่เบื่อ เพราะมีกิจกรรมให้ทำตลอด มาหลับตอนกลับเข้าเมืองเพราะคงจะหมดฤทธิ์

คืนนี้ พักผ่อนอีก ๑ คืนที่บ้าน แล้ววันรุ่งขึ้น ก็เดินทางกลับรังสิต ในวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๓ อย่างปลอดภัย

ขอบคุณ ทีมงานทัวร์ในครั้งนี้ และเพื่อนร่วมเดินทาง ที่ได้มิตรภาพเพิ่มขึ้นหลายท่าน

ขอบคุณ ทุก ๆ ท่านที่ติดตามครับ

ไม่มีความคิดเห็น: