Google
 

08 สิงหาคม 2553

ล่องแพพะโต๊ะ - Homestay เกาะพิทักษ์

หยุดวันแรงงานที่ผ่านมา ฉันและเพื่อนๆ รวม 9 คน ได้วางโปรแกรมกันไว้ว่าเราจะไปเที่ยวแบบ Homestay ที่เกาะพิทักษ์ ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร
เช้าตรู่ ของวันที่ 1 พ.ค.2553 เป็นเวลาที่เช้ามากจริงๆ เพราะเพื่อนๆ นัดเจอกันที่บ้านของฉันแถววงเวียนใหญ่เวลาเที่ยงคืน เราตกลงกันไว้ว่าจะขับรถไปกันเอง โดยจะเอารถไป 2 คัน คือรถของน้องยู และรถของน้องวี (ชื่อเรียงกันตามพยัญชนะภาษาอังกฤษพอดีเลย)
เรารอเพื่อนๆ มากันจนครบ จึงได้ออกเดินทางกันตอนเที่ยงคืนครึ่ง ขับรถกันไปเรื่อยๆ ฉันนั่งรถของน้องวี สมาชิกในรถมีทั้งหมด 5 คน ส่วนรถของน้องยู มีสมาชิก 4 คน แรกๆ ก็ยังคุยกันเฮฮาลั่นรถ พอเวลาล่วงเลยมาถึงตีสาม ก็ค่อยๆ หลับกันไปทีละคนจนในที่สุดก็หลับกันหมด เหลือแต่น้องวีที่ทำหน้าที่สารถีคนเดียวที่หลับไม่ได้ ด้วยฤทธิ์ของกาแฟกระป๋อง 2 กระป๋อง, กาแฟอาเมซอน 1 แก้ว และเครื่องดื่มชูกำลังอีก 1 ขวด
น้องวีจอดรถพักเป็นระยะๆ ส่วนฉันก็หลับบ้างตื่นบ้าง แต่มารู้สึกตัวตื่นจริงๆ ก็ฟ้าสาง ที่ตลาดเช้าท่าตะโก 6 โมงเช้า ฉันมองไปรอบๆ พร้อมกับบันทึกภาพวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ ชาวบ้านกำลังใส่บาตรพระที่กำลังเดินบิณฑบาตรเรียงแถวอยู่ 3 รูป บางคนกำลังพูดกับพ่อค้าแม่ค้าเพื่อจับจ่ายซื้อหาของกินกลับบ้านส่งสำเนียงภาษาใต้กันไปมา บรรยากาศสบายๆ อากาศสดชื่น พวกเราจึงแวะดื่มกาแฟ ในเพิงเล็กๆ ของป้าขายกาแฟใจดี พวกเราฝากท้องอาหารมื้อเช้าไว้ที่นี่ มีทั้งปาท่องโก๋ ขนมครก ขนมใส่ไส้ ข้าวเหนียวหมู

(ตลาดท่าตะโกยามเช้า)


อิ่มแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ จุดหมายปลายทางคือ อ.พะโต๊ะ ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นหน้าร้อน เพราะระหว่างทางอากาศสดชื่นมาก มีหมอกจางๆ ให้ได้ชื่นใจตลอดทาง เรานัดจะไปล่องแพที่ "มาลีนล่องแพ" เมื่อไปถึง ยังเป็นเวลาเช้ามาก พวกเราจึงถือโอกาสนอนพักผ่อนเอาแรงกันคนละหนึ่งตื่น ทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้บ้าง
จนได้เวลาประมาณ 9 โมง เราก็นั่งรถไปที่ต้นน้ำเพื่อเริ่มล่องแพ แพที่ใช้ล่องปัจจุบันนี้ไม่ได้ทำจากไม้ไผ่เหมือนเมื่อก่อน เพราะไม้ไผ่นั้นแตกและพังง่ายไม่ทนทาน แพที่ใช้ปัจจุบันนี้จึงทำจากท่อ PVC อย่างหนา เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-6 นิ้ว นำมาล็อคติดกันด้วยไม้และเหล็กขันน๊อตยึดไว้ด้วยกันจำนวน 8 ลำ แพลำหนึ่งจะบรรทุกคนได้ประมาณ 5-6 คน


พวกเรานั่งกันไปบนแพ คนถ่อแพอยู่ด้านหน้าสุดของแพ แสงแดดแผดกล้า ลมพัดเบาๆ น้ำไหลเอื่อยๆ เบาบ้างแรงบ้างเป็นบางช่วง และบางช่วงก็เจอไม้หักหล่นลงมากีดขวางทางน้ำ เจ้าหน้าที่จึงต้องออกแรงจัดการกับสิ่งกีดขวาง บางแห่งเห็นชาวบ้านมาร่อนแร่ดีบุกเพื่อนำไปขายกันคึกคัก ตลอดสองข้างทางน้ำ เป็นป่าไม้ร่มรืน ฉันได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่ ดูพวกเค้ามีความสุขกับชีวิตที่เรียบง่ายไม่ต้องเร่งรีบเหมือนพวกเราในเมืองกรุง

(การร่อนแร่ดีบุก วิถีชีวิตริมฝั่งน้ำ)


เราล่องกันมาจนถึงปลายทาง ความร้อนแรงของแสงแดด ทำให้พวกเราต่างก็เหนื่อยล้า ขึ้นจากแพก็ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี อาหารกลางวันวันนี้แปลกตรงที่ ข้าวที่เรากินไม่ได้มาเสริฟเป็นจาน แต่มาเป็นกระบอก เมื่อผ่ากระบอกออกก็จะเจอห่อข้าวเหมือนห่อข้าวต้มมัดยาวๆ หลายก้อนอยู่ในนั้น ทราบจากพนักงานว่า ใบไม้ที่ใช้ห่อนั้นคือใบคุ้ม นำมาห่อข้าว อัดลงในกระบอกไม้ไผ่ แล้วนำกระบอกไม้ไผ่ไปเผาไฟจนข้าวสุกได้ที่ จากนั้นก็ผ่ากระบอก แกะห่อออก ก็กลายเป็นข้าวสวยร้อนๆ ที่หอมอร่อยให้พวกเราได้กิน


ยังพอมีเวลาว่างหลังอาหารกลางวัน เราจึงได้โดยสารรถสองแถว ที่น้องต้นและน้องยุ้ย (เพื่อนใหม่ของเราที่มาเจอกันตอนล่องแพ) เช่ามาวันละ 1,000 บาท ไปเที่ยวที่ใกล้ๆ คือ น้ำตกเหวโหลม อยู่ห่างจากที่นี่ 15 กิโลเมตร ช่วงนี้น้ำไม่ค่อยเยอะ แต่พอจะมองเห็นภาพว่าเวลาที่น้ำเยอะนั้นคงจะสวยงามไม่น้อยเลย แต่เสียดายที่มีขยะเต็มไปหมด ทั้งๆ ที่มีป้ายเขียนไว้ชัดเจนว่าห้ามทิ้งขยะ หากฝ่าฝืนปรับ 2,000 บาท

(แวะเที่ยวน้ำตกเหวโหลม)


กลับจากเที่ยวน้ำตก พวกเราจึงออกเดินทางต่อไปยังปากน้ำหลังสวน ตามเส้นทางถนนเลียบชายทะเล ปากน้ำหลังสวน-ปากน้ำตะโก ประมาณ 13 กิโลเมตร เพื่อไปยังท่าเรือข้ามไป "เกาะพิทักษ์" ระหว่างทางได้ทราบว่า "บ้านป้าเล็ก" ที่เราจองไว้เป็นที่พัก Homestay ในคืนนี้ โทรมาบอกว่าน้ำจืดไม่มีใช้มา 3 วันแล้ว ไม่สามารถให้พวกเราไปพักได้ ทำเอาพวกเราวุ่นวายหาที่พักใหม่กันยกใหญ่ แต่โชคดีมาก ที่ได้ที่พักใกล้ๆ กับบ้านป้าเล็ก คือ "บ้านป้าศรี"

(เกาะพิทักษ์ - มุมที่นอนในบ้านป้าศรี - น้องเอิร์ท นางแบบคนสวย)


ป้าศรี ชื่อเต็มๆ คือ ป้าพรศรี รัตนราช เจ้าของบ้านใจดีที่ต้อนรับพวกเราให้ได้อาศัยพักนอนในคืนนี้ บอกว่า ที่บ้านมีแท้งค์เก็บน้ำหลายใบ ทำให้มีน้ำจืดสำรองไว้ใช้ได้ในยามฉุกเฉิน และบังเอิญอีกเช่นกันที่คณะอื่นที่จองมานั้น ไม่สามารถติดต่อเพื่อ confirm ได้ ป้าจึงตัดสินใจรับพวกเราเข้ามาพักแทนคณะนั้น ที่บ้านป้าศรี นอกจากพวกเรา 9 คนแล้ว ยังมีแขกมาพักอีกหลายกลุ่ม บางกลุ่มมากันสิบกว่าคน บางกลุ่มมากัน 5 คน รวมๆ แล้วคืนนี้ มีแขกที่มาพักที่บ้านนี้ประมาณ 30 กว่าคน แต่ถึงแขกจะเยอะขนาดไหน ป้าศรีและลูกหลานในบ้าน ต่างก็ช่วยกันดูแลแขกทุกกลุ่มได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องและเป็นกันเอง ในจำนวนหลานของป้าศรีนั้น มีเด็กหญิงตัวเล็กชื่อ "น้องเอิร์ท" อายุประมาณ 4 ขวบ คอยส่งเสียงใสๆ ทักทายบรรดาแขกเหรื่อ และมีจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยการบริการ คอยดูแลจัดหาที่หลับที่นอนให้พวกเรา

(อาหารสุดอลังการ)


อาหารที่นี่ก็อร่อยทุกมื้อ แถมยังเยอะอีกต่างหาก ได้กินอาหารทะเลกันซะจนฉันตั้งใจว่า กลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่จะงดกินอาหารทะเลไปอีก 1 เดือนเลยทีเดียว เนื่องจากมีแขกเยอะมากป้าแกเลยวุ่นวายอยู่กับการดูแลเอาใจใส่แขกอีกหลายกลุ่ม เราจึงช่วยกันล้างจานอาหารมื้อเย็นเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ น้ำยาล้างจานของที่นี่กลิ่นแปลกๆ ไม่เหมือนที่เราใช้กันอยู่ ถามป้าเลยได้ความรู้ใหม่ว่า ที่นี่ทำน้ายาล้างจานกันเอง ใช้สัปปะรดล้างสะอาดต้ม แล้วกรองน้ำ ผสมเกลือ และ N70 ตามสูตร เท่านี้ก็ได้น้ำยาล้างจานที่ไม่ทำลายสภาพแวดล้อม แถมป้ายังบอกว่าใช้ซักผ้าก็ได้ด้วย เรียกว่าประหยัดรายจ่ายได้อีกทางหนึ่ง

(นั่งเรือออกไปตกหมึก)


ตอนค่ำๆ นั่งเรือออกไปตกหมึก แต่รออยู่นานก็ไม่ได้สักที นานๆ จะมีว่ายมาให้เห็นซักตัวก็เอาสวิงช้อนใส่ถังไว้ รวมแล้วได้แค่ 2 ตัว พี่คนขับเรือบอกว่าตอนหัวค่ำพาคณะอื่นมาตกหมึกได้กันไปหลายสิบตัว แต่เวลาที่พวกเราไปนั้นดึกแล้ว ฉันเลยคิดเล่นๆ ว่า สงสัยปลาหมึกคงจะไปนอนกันหมดแล้วมั้ง นั่งโคลงเคลงอยู่ในเรือซักพัก ก็บอกให้พี่คนขับพากลับบ้านดีกว่า เพราะว่าเริ่มเมาเรือซะแล้ว
เช้าวันที่ 2 พ.ค. อาหารเช้ามีข้าวต้มกุ้ง แต่เนื่องจากมีกุ้งเเยอะกว่าข้าว เราจึงเรียกกันว่า "กุ้งต้มข้าว" น่าจะเหมาะกว่า สายๆ เพื่อนๆ ไปดำน้ำกัน แต่ฉันไม่ค่อยจะชอบปะการังซักเท่าไหร่ จึงรออยู่ที่บ้าน ระหว่างรอก็ซื้อเสื้อยืดพิมพ์คำว่าเกาะพิทักษ์มาใส่ 1 ตัว เมื่อเพื่อนๆ กลับมาก็ได้เวลาอาหารกลางวันซึ่งเป็นมื้อสุดท้ายของที่นี่ ก่อนที่เราจะร่ำลาจากบ้านป้าศรี ก็เลยถือโอกาสถ่ายรูปป้าไว้เป็นที่ระลึกด้วย

(ป้าศรี - ทะเลแหวก - ย่ำน้ำขึ้นฝั่ง)


ขากลับเรือไปส่งเราที่ฝั่ง แต่ไม่สามารถเข้าไปถึงฝั่งได้เนื่องจากน้ำทะเลตื้นมาก พวกเราจึงต้องลงเดินย่ำน้ำซึ่งสูงแค่เข่าเข้าฝั่งกันเอง ทราบข้อมูลจากชาวบ้านว่าที่นี่จะมีการแข่งวิ่งมาราธอนตอนประมาณเดือน 6 เพราะน้ำทะเลที่นี่จะลดต่ำมากจนสามารถเดินข้ามจากบนฝั่งไปที่เกาะได้สบายๆ หรือที่เคยได้ยินเค้าเรียกกันว่า "ทะเลแหวก" ซึ่งเป็นเสน่ห์ไม่มีที่ไดเหมือน
การท่องเที่ยวของฉัน ถึงแม้จะเป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้ฉันได้รู้ได้เห็นอะไรมากมาย เห็นภาพวิถีชีวิตของชาวบ้านที่แสนจะเรียบง่ายแต่ดูมีความสุข ได้รู้จักลุงใจดีที่ร้านกาแฟซึ่งตั้งอกตั้งใจบอกเส้นทางการเดินทางให้พวกเรา รู้จักป้าใจดีร่อนแร่เป็นตัวอย่างให้พวกเราดูใกล้ๆ รู้จักอาหารการกินที่แปลกไปจากที่เราเคยกิน รู้จักเพื่อนใหม่ทำให้ได้ไปเที่ยวอีกแห่งที่ไม่ได้วางไว้ในโปรแกรม เห็นความร่วมมือร่วมใจของเพื่อนๆ เมื่อต้องพบกับปัญหาไม่มีที่พัก เห็นน้ำใจของป้าเจ้าของบ้านที่ให้เราพักอาศัย เห็นความเป็นมิตรของเด็กตัวเล็กๆ เห็นสิ่งแปลกใหม่"ทะเลแหวก"ที่ไม่คิดว่าจะมีที่เมืองไทย ทุกอย่างถือเป็นกำไรชีวิตที่หาได้ง่ายๆ จากการเดินทางแม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม


ใครชอบกระดกแบบนี้...ระวัง!! *~๏ ดูไว้เป็นอุทาหรณ์ น่ากลัว!!

ใครชอบกระดกแบบนี้...ระวัง!! *~๏ ดูไว้เป็นอุทาหรณ์ น่ากลัว!!