Google
 

16 สิงหาคม 2551

วิธีเลือกของใส่บาตร ตามวันเกิด

วันอาทิตย์
อาหารคาว : ประเภทไข่ ไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ลูกเขย ต้ม แกงกะทิ
อาหารหวาน : ไข่หวาน มะพร้าวอ่อน มะพร้าวแก้ว ขนมใส่กะทิ น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะพร้าว น้ำขิง เงาะ ของถวายพระ : หลอดไฟ ไฟฉาย เทียน ธูป อุปกรณ์แสงสว่าง แว่นตา หมากพลู
ไหว้พระ : ปางถวายเนตร ( พระประจำวันเกิด) กำลังวันเท่ากับ 6 (สวดแบบย่อ อะ วิช สุ นุส สา นุต ติ)
ทำทาน : เติมน้ำมันตะเกียงตามวัด คนตาบอด โรงพยาบาลโรคตา มูลนิธิคนตาบอด โรงพยาบาลโรคหัวใจ มูลนิธิโรคหัวใจ
พฤติกรรม : ออกรับแสงอาทิตย์อ่อนๆ ช่วงเช้าหรือเย็นๆ เพื่อให้เกิดพลัง อย่าใจร้อน เลิกทิฐิ ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

วันจันทร์
อาหารคาว : ประเภทสัตว์ปีก สัตว์น้ำ เช่นไก่ผัดขิง ไก่ย่าง ไก่ทอด ปูผัดผงกะหรี่ ปูนึ่ง ข้าวมันไก่ ข้าวผัดปู เต้าหูทอด แกงจืดเต้าหู้ แกงเผ็ดเป็ดย่าง ปลาสลิดทอด
อาหารหวาน : น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง น้ำอ้อย โดนัท นมสด นมกล่อง เผือก มันลางสาด ขนมเปี๊ยะ
ของถวายพระ : แก้วน้ำ แจกัน ของโปร่งๆ ใสๆ
ไหว้พระ : ปางห้าม­าติ ( พระประจำวันเกิด) กำลังวัน เท่ากับ 15 ( สวดแบบย่อ อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา)
ทำทาน : มูลนิธิช่วยเหลือสตรี
พฤติกรรม : ทำจิตใจให้สดชื่น แจ่มใส อยู่เสมอ อย่าวิตกกังวลเกินเหตุ ให้ความช่วยเหลือสตรีเช่นลุก ให้สตรีนั่งบนรถเมล์บริหารกล้ามเนื้อหน้าอกให้แข็งแรง

วันอังคาร
อาหารคาว : อาหารประเภทเส้น ขนมจีน วุ้นเส้น บะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว เนื้อวัว ปลาช่อนตากแห้งทอด
อาหารหวาน : ฝอยทอง สลิ่ม ลอดช่อง ทุเรียน ระกำ ขนุน น้ำสไปร์ท น้ำอัดลม
ของถวายพระ : เหล็ก เครื่องมือประเภทเหล็ก กรรไกร แปรงสีฟัน ยาสีฟัน พัดลม กรรไกรตัดเล็บ ไหว้พระ : ปางไสยาสน์ (พระนอน) มีกำลังเท่ากับ 8 (สวดแบบย่อ ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง)
ทำทาน : คนพิการทางปาก ปากแหว่ง ผู้ป่วยโรคลมชัก พฤติกรรม : ทำตัวให้กระฉับกระเฉง ตื่นตัว ขยันให้มากขึ้น ลดอารมณ์ร้อน การชิงดีชิงเด่น

วันพุธ (กลางวัน)
อาหารคาว : เน้นสีเขียว-หมู แกงเขียวหวานหมู หมูปิ้ง หมูทอด ผัดพริกหมู คะน้าน้ำมันหอย
อาหารหวาน : ขนมเปียกปูนเขียว น้ำฝรั่ง ชมพู่เขียว องุ่นเขียว มะม่วงเขียวเสวยฝรั่ง ชามะนาว
ของถวายพระ : สมุด กระดาษ ปากกา ดินสอ อุปกรณ์การเรียนการศึกษา
ไหว้พระ : ปางอุ้มบาตร (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 17 (สวดแบบย่อ ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท )
ทำทาน : คนพิการทางหู โรงพยาบาลโรคสมอง โรงเรียนสอนคนหูหนวก
พฤติกรรม : อ่านหนังสือธรรมะ ร้องเพลง ฝึกสร้างความมั่นใจให้ตนเอง

วันพุธ (กลางคืน)
อาหารคาว : ของหมักดอง ผักกาดดองผัดไข่ อาหารกระป๋อง แกงใบยอ หมูยอ แหนม ไข่เยี่ยวม้า ห่อหมก
อาหารหวาน : ข้าวหมาก ขนมเปียกปูนดำ เฉาก๊วย ข้าวเหนียวดำ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ผลไม้หัวโตๆ ทุเรียน
ของถวายพระ : พัดลม เทปธรรมะ ยาแก้โรคลม ยาหอม
ไหว้พระ : ปางป่าเลไลย์ ( พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 12 (สวดแบบย่อ คะ พุท ปัน ทู ธัม วะ คะ )
ทำทาน : มูลนิธิหรือหน่วยงานที่เกี่ยวกับยาเสพติด
พฤติกรรม : เลิกบุหรี่ เลิกดื่มหรือลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เลิกการพนัน เลิกทำตัวเหลวไหล เลิกเที่ยวกลางคืน เลิกยาเสพติดทุกชนิด

วันพฤหัสบดี
อาหารคาว : ประเภทเถา แกงเลียง บวบผัดไข่ น้ำเต้า
อาหารหวาน : แตงโม แตงไทย น้ำสมุนไพร ส้ม สาลี่ น้ำมะตูม น้ำว่านหางจระเข้
ของถวายพระ : สบง จีวร หนังสือธรรมะ ตู้ยา โต๊ะหมู่บูชา
ไหว้พระ : ปางสมาธิ ( พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 19 ( สวดแบบย่อ ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ)
ทำทาน : โรงพยาบาลสงฆ์ บริจาคข้าวสาร เสื้อผ้า ผ้าห่มกันหนาว พฤติกรรม : นั่งสมาธิ สวดมนต์ ถือศีล5 อย่าซื่อจนเกินไป

วันศุกร์
อาหารคาว : ประเภทของหอม หวาน ข้าวหอมมะลิ ผักกาดหอม ไข่เจียวหอมให­่ ยำหัวหอม
อาหารหวาน : ขนมหวาน หอมทุกชนิด น้ำเก๊กฮวย ผลไม้ที่มีกลิ่นหอม กล้วยหอม เค้ก
ของถวายพระ : นาฬิกา โต๊ะรับแขก ดอกไม้สวยหอม ระฆัง ย่าม
ไหว้พระ : ปางรำพึง ( พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 21 ( สวดแบบย่อ วา โธ โน อะ มะ มะ วา)
ทำทาน : เด็กด้อยโอกาส ให้เงิน ให้เสื้อผ้า อาหารที่หอมหวานชวนกิน เช่น ไอศกรีม
พฤติกรรม : ทำตัวให้สดชื่นแจ่มใส บำรุง ดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่ตลอด จัดสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ สวยงาม เลิกการฟุ่มเฟือย

วันเสาร์
อาหารคาว : ประเภทของขม ของดำมะระยัดไส้ สะเดาน้ำปลาหวาน น้ำพริกปลาทู มะเขือยาว
อาหารหวาน : ลูกตาลเชื่อม กาแฟ โอเลี้ยง
ของถวายพระ : ร่มสีดำ กระเบื้องมุงหลังคา ไม้กวาด สร้างห้องน้ำถวายวัด
ไหว้พระ : ปางนาคปรก ( พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 10 ( สวดแบบย่อ โส มา ณะ กะ ระ ถา โธ)
ทำทาน : โรงพยาบาลโรคจิต โรงพยาบาลโรคประสาท
พฤติกรรม : กวาดลานวัด ล้างห้องน้ำวัด ไม่เครียด มองโลกในแง่ดี ขยะในบ้านยกทิ้งทุกวัน อย่าหมักหมม

08 สิงหาคม 2551

นักเดินทาง ตะเกียง และแสงจันทร

ฉันอาจเป็นเพียงตะเกียงดวงหนึ่ง ที่มีแสงเพียงน้อยนิดอาจจะไม่จำเป็นเลยในบางช่วงบางขณะ ที่พระจันทร์ทอแสงนวลกระจ่างเธออาจจะทิ้งฉันไว้ข้างทางก้อเป็นได้หากเธอคิดว่าฉันไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อยฉันจึงเปรียบตะเกียง เป็นดั่ง ตัวฉัน.
..ส่วนเธอน่ะ เป็น นักเดินทางคนนึง
...ส่วนเค้าคนนั้น เป็น พระจันทร์
....นักเดินทางคนหนึ่งกับตะเกียงดวงเก่าตะเกียงที่ให้แสงสว่างในค่ำคืนที่มืดมิดตะเกียงที่ให้ความอบอุ่นได้ เมื่อนักเดินทางผู้นั้นต้องการในค่ำคืนที่สายลมหนาวได้ผ่านพัดมาอีกคราการเดินทางของนักเดินทางผู้นั้นก้อมี ตะเกียงเป็นเพื่อนคู่ชีพแสงเพียงน้อยนิดที่พอจะส่องทางได้เป็นระยะๆทำให้นักเดินทางผู้นั้นเริ่มไม่พอใจในสิ่งที่ เค้ามีอยู่เมื่อเค้ามีเพื่อนร่วมทาง เพื่อนร่วมทางก็ได้กล่าวว่า"จะใช้ตะเกียงดวงเก่านี้ไปทำไม ในเมื่อแสงจากพระจันทร์ออกจะสว่างถึงเพียงนี้"นักเดินทางผู้นั้นคิดได้จึงทิ้งตะเกียงผู้น่าสงสารไว้ข้างทางหลงเชื่อคำกล่าวของเพื่อนร่วมทางซึ่งเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านมาแล้วก้อผ่านไปค่ำคืนนั้น เป็นคำคืนที่ยาวนานสำหรับฉัน
......ตะเกียงผู้ถูกทอดทิ้งไว้ข้างทางก้อเค้าไม่สนใจแม้แต่น้อยกลับกัน เธอนักเดินทางที่กำลังหลงระเริงกับแสงจากพระจันทร์ที่ส่องแสงนวลกระจ่าง มันสวยงาม มันชวนฝันนักเดินทางผู้นั้นจึงเดินทางไปเรื่อยๆ เพียงลำพังแค่สัมภาระ ไร้ตะเกียงดวงเก่า!เมื่อความมืดมิดแห่งค่ำคืนได้ผ่านพ้นไปแสงจันทร์ที่เคยกระจ่างยามค่ำคืนก้อเลือนหายดวงตะวันได้โผล่ขึ้นมารับอรุณบอกกับทุกคนที่อยู่ใต้ผืนฟ้าว่านี่คือเช้าวันใหม่
..............สายลมหนาว
ผ่านพัดมาเยือนอีกครา
ผ่านพัด เป็นลมหนาวที่เย็นยะเยือกตะเกียงดวงเก่าที่ถูกทอดทิ้งบัดนี้ นักเดินทางอีกคนได้ผ่านมาพบจึงเก็บไว้เป็นสมบัติตนตะเกียงจึงกลับกลายเป็น ของมีค่าอีกครั้งมันได้ทำหน้าที่เช่นเดิม คือ ให้แสงสว่างและความอบอุ่นไปพร้อมๆ กันเมื่อตะวันลับฟ้าไปแล้วลำแสงสุดท้ายของวันเป็นสีส้มเป็นแสงสว่างสุดท้ายของวันนี้ค่ำคืนได้ย่างกรายเข้ามา สายลมหนาวก้อเริ่มพัดแรงขึ้นๆดวงจันทร์ที่เคยทอแสงกระจ่างกลับถูกหมอกเมฆบดบังจนสิ้น!ราวกับจะกลั่นแกล้งนักเดินทางคนเก่าที่เคยเป็นเจ้าของตะเกียงเค้าผู้นั้นไม่มีแม้แต่แสงไฟที่จะใช้ส่องทางและเช่นกันเค้าไม่มีแม้กระทั่งความอบอุ่นนักเดินทางหนาวสั่นจะเดินต่อก็กลัว หลงทางเค้าจึงย้อนกลับไปเอาตะเกียงดวงเก่าที่ได้ทิ้งไว้เมื่อคืนก่อน
... ลมหนาวได้ผ่านพัดมา ราวกับจะทรมานนักเดินทางผู้นั้นจนกระทั่งมาถึงจุดที่เขา ได้ทิ้งตะเกียงไว้บัดนี้ตะเกียงดวงเก่าได้ สาปสูญไปแล้วเค้านึกเสียดายจับใจแม้จะเรียกร้องเพียงใดก้อมิได้กลับคืนจึงทำได้แต่เพียงนอนหนาวรอให้เมฆหมอกที่บดบังดวงจันทร์นั้นได้ผ่านเลยไปเวลาได้ผ่าน
........เมฆหมอกได้เลือนหายไปแล้วแสงจันทร์ได้กลับมาสดใสอีกคราทำให้นักเดินทาง ผู้เหน็บหนาวอุ่นใจขึ้นแต่ดวงจันทร์ก้ออยู่ไกลเกินไป.......
ไกลเกินที่จะทำให้นักเดินทางผู้เหน็บหนาวได้รับความอบอุ่น
เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า"เรามักจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราครอบครองนั้นดีเพียงไรมีคุณค่ากับเราเพียงใดเราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราได้สูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว"เพราะฉะนั้นฉันจึงอยากให้ผู้ที่ใฝ่สูงทั้งหลายจงหันกลับมามองคนใกล้ตัวการชะเง้อมันเมื่อยกว่าการก้ม จริงไหม?

ค่าชีวิต ( ชัญวลี ศรีสุโข)

ตะวันลับฟ้าไปนานแล้ว ดวงจันทร์ดวงกลมโตประดับห้วงนภากาศยามรัตติกาล สาดแสงสีนวลปกคลุมโลกหล้า ยามค่ำเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินต่างง่วนอยู่กับการทำงานตามปกติ ทันใดนั้นรถกระบะคันหนึ่งเสียบพรวดเข้ามาหน้าประตูทางเข้าห้องฉุกเฉิน พร้อมมีเสียงคนร้องไห้โหยหวน

จริงอยู่ที่แพทย์พยาบาลประจำห้องฉุกเฉิน มักจะได้สัมผัสความเสียใจแสนสาหัสของญาติมิตรคนเจ็บคนตาย แต่วันนี้นอกจากเสียงร้องอันเสียดแทงหัวใจมนุษย์ปุถุชนธรรมดาแล้ว ยังมีเสียงแห่งความหวาดกลัวเจือปนมาด้วย

“อีเจียมมันคงนั่งสัปหงก” หญิงวัยกลางคนในชุดกรรมกร เสื้อผ้าเก่าขาด โพกหัวด้วยผ้าขาวม้า...เล่าขอบตาแดงๆ อย่างคนเพิ่งผ่านการร้องไห้ เธอหลุบตาลงไม่กล้ามองศพหญิงสาวที่นอบนเตียง อย่าว่าแต่เธอเลย ฉันซึ่งเป็นหมอมากว่าสิบปีก็ยังไม่อยากมอง “พวกเราก็ง่วง...หมอ งานหนักทั้งวัน ปวดเมื่อยทั้งเนื้อตัวดังโดนใครทุบ พากันนั่งหลับกันไปทั้งคันรถ”

ภาพรถกระบะบรรทุกคนงานก่อสร้าง นั่งเบียดเสียดยัดเยียดกันเต็มหลังรถ วาบขึ้นในมโนสำนึกของฉัน “อีแดงที่นั่งใกล้อีเจียมโวยวายว่าปิ่นโตหก น้ำแกงไหลเลอะเทอะไปหมด ฉันจึงคลำดูปิ่นโต ก็เห็นวางอยู่ดี เลยคำดูน้ำแกง เอามือมาส่องกับแสงจันทร์ จึงเห็นเป็นเลือดสดๆ” ผู้พูดทำหน้าสยดสยอง

“ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าใครเป็นอะไร ได้แต่ตบสีข้างรถให้หยุด เมื่อหยุดจึงรู้ว่าอีเจียมเป็นผีหัวขาดไปแล้ว” ฉันตรวจสภาพศพนางสาวเจียม หัวเธอขาดหายไป เหลือแต่ตัวและบางส่วนของคอ กระดูกต้นคอ หลอดลม หลอดอาหาร ขาดร่องแร่ง เศษเนื้อหนังรุ่งริ่งน่าขนลุก...วินิจฉัยสาเหตุการตายว่า...เพราะถูกของแข็งตัดหัวขาด...ฉันเขียนใบชันสูตรพลิกศพดังนั้น

เมื่อตำรวจมา พวกเขาวิทยุวุ่นวายให้ดักสะกัดรถที่ต้องสงสัย เข้าใจว่ารถคันนั้นคงสวนทางมาด้วยความเร็วสูง และขับชิดรถกระบะมากจนเกี่ยวเอาส่วนศีรษะของนางสาวเจียมที่นอนหลับหัวพาดกับขอบรถไป สองชั่วโมงต่อมาเอง ตำรวจก็ได้เบาะแส เนื่องจากมีเด็กปั๊มฯแจ้งว่า มีคนขับรถสิบล้อจอดรถลงฉี่และเติมน้ำมัน แต่แรกท่าทางก็เป็นปกติดี พอจะกลับขึ้นรถ เอามือโหนตรงประตู คนขับแสดงท่าตกใจสุดขีด คว้าบางสิ่งบางอย่างเสียบอยู่ที่ก้านกระจกรถขว้างลงมา และบึ่งรถหนีไป เด็กไปดูเห็นเป็นหัวผู้หญิง จึงรีบโทรศัพท์ตามตำรวจไปตรวจสอบ

เล่าเรื่องจบ ฉันเอ่ยปากถาม “ว่าไงครับลูก ถ้าหนูจะนั่งรถกระบะ หนูควรนั่งตรงไหน นั่งอย่างไร จะเอาหัวพาดเล่นที่ขอบรถกระบะหรือเปล่า ว่าไงครับ กล้า กลาง เกน” เท้าชะลอคันเร่ง เพื่อฟังคำตอบจากลูก... เป็นธรรมดาที่คนเป็นหมอมักมีเวลาน้อย ทุกวันอาทิตย์ฉันจึงปิดคลินิกเพื่อใช้เวลาอยู่กับลูกชายทั้งสามพูดคุนกับพวกเขา ขณะอยู่ในรถที่ขับไปส่งพวกเขาไปเรียนพิเศษ ฉันก็มักจะเล่าสถานการณ์จริง หรือบางทีก็สมมุติสถานการณ์ปลอมทดสอบการตัดสินใจของลูก คุณก็รู้...สังคมปัจจุบันนี้น่ากลัวสำหรับคนอ่อนด้อยประสบการณ์เพียงใด การสมมุติสถานการณ์ปัญหาให้ลูกตอบจึงเป็นทางรอดทางหนึ่งที่สามีและฉันยึดเป็นกลยุทธ์ทดสอบลูกทุกสัปดาห์ “การทำลูกนั้นมันไม่ใช่เรื่องยาก แต่การเลี้ยงให้ลูกไปตลอดรอดฝั่งนั้นเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งนัก” คนเป็นพ่อเป็นแม่ใครๆ ก็สรุปกันไว้ดังนี้

...เสียงตอบของลูกดังเซ็งแซ่...ลูกชายนี้เลี้ยงยากกว่าลูกผู้หญิงหรือเปล่าฉันไม่แน่ใจ แต่ลูกๆ ของฉัน วันที่อยากจะพูดกับกับแม่ก็แย่งกันพูด วันไหนไม่อยากพูดด้วย ก็เงียบกริบทั้งคันรถ ประเภทเอาช้อนมาแงะปากก็ยังไม่อยากพูด บ่นให้สามีฟังเขาก็ยิ้มๆ บอกว่า...ก็ลูกๆ ได้รับมรดกอารมณ์แปรปรวนมาจากแม่ของพวกเขาทั้งหมด

การทำพวงมาลาไปวางที่อำเภอในงานวันปิยมหาราชนี้นับว่าเป็นงานสำคัญของโรงเรียน ทางอำเภอจัดประกวดพวงมาลาประเภทสวยงามและความคิดทุกปี ปีนี้ครูนิรมิตรผู้รับผิดชอบทำพวงมาลา รู้สึกโล่งใจที่ทุกอย่างสำเร็จได้ทันเวลา หลังจากคณะครูระดมฝีมือประดิดประดอยดอกไม้เกือบทั้งคืน พวงมาลาของโรงเรียนจึงอยู่ในกรอบรูปสี่เหลี่ยมขนาดสองฟุตครึ่งคูณสามฟุต ประดับด้วยใบตองจีบเป็นรูปต่างๆ พวงมาลัยดอกไม้สดเรียงร้อยรอบรูปการเลิกทาสอย่างประณีต สวยงามและมีความหมาย อาจารย์นิรมิตรตรวจสอบขาตั้งพวงมาลา เสร็จแล้ว คณะครูช่วยกันดูความเรียบร้อยอีกครั้ง ครูบางคนเอากระป๋องฉีดน้ำมาฉีดใบตองและดอกไม้ให้ดูสวยสดอยู่เสมอ

“พิสันเธอช่วยขึ้นไปประคองพวงมาลาด้านหลังรถไว้นะ อย่าให้พวงมาลาปลิวลงมา เดี๋ยวครูจะบึ่งรถเอาไปตั้งไว้ที่จุดนัดพบกลางเมือง ช้าเดี๋ยวไม่ทันเวลาเคลื่อนขบวน”

ไม่ทันจะเจ็ดโมงเช้า ครูนิรมิตรเตรียมนำพวงมาลาไปวางที่จุดตั้งขบวนแห่ พิสันเป็นเด็กชั้น ป.หก ในชั้นเรียนครูนิรมิตรเอง เขาเป็นเด็กเรียนเก่ง เป็นหัวหน้าชั้นที่ขยัน เต็มใจช่วยเหลือกิจกรรมโรงเรียนทุกอย่าง “ครับ” พิสันวิ่งขึ้นหลังรถกระบะ มือประคองพวงมาลาอย่างแข็งขัน...

ใบหน้าซีดเซียวของครูนิรมิตรในห้องฉุกเฉินวันนั้น...เป็นสิ่งที่ฉันจำไม่ลืม ลูกผู้ชายอย่างครูร่ำไห้ขณะกราบพ่อแม่ของพิสันหลายครั้ง...อย่างสำนึกผิด เมื่อเด็กชายพิสันปลิวตกลงจากหลังรถพร้อมพวงมาลา หัวน็อกพื้นตายคาที่ พ่อแม่บอกต่อหน้าฉันว่า...ไม่เอาเรื่องครูใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเวรกรรมของเด็กเอง ลูกของเขาได้ปฏิบัติหน้าที่นักเรียนอย่างสมเกียรติในวาระสุดท้าย เล่นเอาฉันนิ่งอึ้ง คิดไปถึงลูกชายคนกลางซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผู้ตาย...นึกอยากร้องไห้ขึ้นมาทันที

เล่าเรื่องจบฉันเอ่ยปากถาม “ว่าไงครับลูก ถ้าครูบอกให้หนูช่วยถือป้ายที่มันอาจจะปลิวลมได้ที่ท้ายรถกระบะ หนูจะตอบครูว่าอย่างไร”

เด็กชายกล้าทำเฉยๆ เหมือนไม่ได้ยิน เด็กชายกลางมือกดเกมในมือดังติ๊กๆ ส่วนเด็กชายเกนอ่านหนังสือการ์ตูน ไม่ตอบคำถามใดๆ

“ว่าไงครับลูก” ถามซ้ำ เมื่อเห็นลูกยังไม่ตอบ ฉันเริ่มบ่น

“กลางอยู่ในรถอย่างกดเกมเล่นสายตาจะเสีย เกนอ่านหนังสือบนรถอีกหน่อยต้องใส่แว่นสายตารู้ไหม กล้าบอกน้องๆ สิลูกว่าถ้าคุณครูให้ถือป้ายท้ายรถ ทำให้นักเรียนมีโอกาสสูง...ที่จะตกลงมาคอหัก เด๊ดสะมอเร่ได้ กล้าจะตอบครูว่าอย่างไร”

“แม่ถามอย่างนี้อีกละ” เด็กชายกล้าชั้นม.สองบ่น “แม่จำไม่ได้หรือว่าวันก่อนแม่ก็ถามไปแล้ว กลางเขาก็ตอบแม่ไปแล้ว” เขาตอบอย่างหงุดหงิด ทำให้ฉันนึกออก ประมาณเดือนก่อน...ก็เหมือนกัน ครูให้เด็กซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์และหิ้วกรอบรูปไปด้วย เมื่อรถแล่นขึ้นเนิน เด็กไม่มีที่ยึด จึงหงายหลังตัวหลุดจากเบาะรถ ท้ายทอยฟาดพื้น ตายก่อนมาถึงโรงพยาบาล...ฉันได้เล่าสถานการณ์จริง ทดสอบความเตรียมพร้อมของลูกไปแล้ว

ฉันทำหน้าเคร่งขรึม แต่แอบขออภัยลูกในใจ อาชีพที่เป็นอยู่ พบเห็นโศกนาฎกรรมทุกวัน บางเรื่องเป็นเรื่องเศร้ามาก ติดค้างในใจ พาเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก...เพราะไม่อยากให้เด็กคนไหนต้องตกในสภาพเช่นนี้อีก “คุณยายทองทำไมคุณยายเพิ่งมาหาหมอเล่า

ตกเลือด...เป็นมาตั้งเกือบปีแล้ว สตรีผู้นั่งหน้าฉันเป็นหญิงชราอายุเจ็ดสิบปี ร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่นั่นเป็นเพียงภายนอก เพราะเมื่อฉันตรวจภายในพบว่ายายเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่สาม นั่นคือมะเร็งได้กระจายออกจากปากมดลูกลามไปที่เนื้อเยื่อข้างเคียงและช่องคลอดแล้ว

“เงินมันหายากนะหมอสมัยนี้” ยายไม่ตอบตรงๆ ขณะเด็กชายอายุประมาณสิบขวบที่มาด้วยค่อยๆ โผล่หน้าเข้ามาดูยายอย่างเป็นห่วง

“ไอ้หนู ไหว้หมอเสียสิลูก” เด็กชายหน้าตาน่ารักไหว้ฉันอย่างอ่อนน้อม

“หมอ...นี่หลานฉัน เลี้ยงเป็นลูก พ่อแม่พวกมันถูกรถชนตายเมื่อสองปีที่แล้ว มันเรียนเก่งนะหมอ ที่หนึ่งที่สองทุกเทอม ครูก็ชมว่าเป็นเด็กดี มารยาทเรียบร้อย ได้เป็นเด็กดีเด่นของโรงเรียน” ยายพูดไปไกล พาฉันกระสับกระส่าย มองดูคนไข้ที่นั่งรอนอกห้องตรวจอีกสิบคน แต่ก็ไม่กล้าขัดคอยาย ได้แต่หาจังหวะอธิบายเรื่องการรักษาโรคมะเร็งที่ยายเป็น

“คุณยาย เรื่องโรคมะเร็งปากมดลูก คุณยายเป็นมากพอสมควร ต้องไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ก็ได้ คงผ่าตัดรักษาไหวไหม คงต้องใช้วิธีฉายแสงรักษา หมอจะเขียนจดหมายเขียนประวัติส่งตัวคุณยายไป”

“แล้วจะหายหรือหมอ” ฟังคำถามนี้ฉันก็หนักใจ มะเร็งปากมดลูกมีสี่ระยะ ระยะที่สี่นั้นเป็นระยะร้ายแรงที่สุด ชาวบ้านว่ากันว่า...รักษาก็ตายไม่รักษาก็ตาย ส่วนระยะที่สามนี้ การพยากรณ์ของโรคก็ไม่ดี คนไข้โรคมะเร็งปากมดลูกระยะสาม หนึ่งในสามเท่านั้น ที่สามารถมีอายุยืนยาวเกินห้าปี

“ถ้าคุณยายไม่รักษา คุณยายอาจจะอายุสั้น ถ้ารักษาก็มีโอกาสหายขาดนะจ๊ะ” ฉันไม่บอกตรงๆ ว่า ถ้ารักษาและโชคดี ยายจึงมีโอกาสเป็นหนึ่งในสามคนที่มีอายุยืนต่อจากนี้เกินห้าปี

ยายลูบหัวหลานและยิ้มเห็นฟันเคลือบสีหมาก บอกฉันอย่างตัดสินใจ “ฉันว่าจะไม่รักษาละหมอ” “ไม่ได้นะคุณยาย ไม่รักษาไม่ได้” ฉันละลักละล่ำ จากความรู้และประสบการณ์ ทำให้รู้แน่นอนว่าโอกาสรอดชีวิต...ถ้ารักษานั้นมากกว่าถ้าไม่รักษาแน่นอน ความเป็นหมอทำให้รู้สึกใจหายมาก ถ้ายายจะปล่อยโอกาสทองของการรอดชีวิตนี้ให้หลุดลอยไป

“คุณยายไปรักษาเถอะนะคะ มีเพียงสตางค์ค่ารถเท่านั้นไปรักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ก็ได้ ค่ารักษานั้นยายไม่ต้องเสียสตางค์ เดี๋ยวหมอเขียนจดหมายส่งตัวให้ ยายสามารถใช้บัตรผู้สูงอายุได้” ฉันอ้อนวอน

“ฉันคงไม่ไปหรอกหมอ” ยายทองย้ำ ทำให้ฉันแทบเข่าอ่อนด้วยความเสียดายโอกาสรอดชีวิตของยายแทน

“ฉันตั้งใจไว้เช่นนั้น...คนข้างๆ บ้านเขาบอกฉันว่า...สงสัยยายเป็นมะเร็งภายใน เพราะตกเลือดกลิ่นแรง...ฉันก็มาตรวจ เพื่อให้รู้...หมอ...เงินทองเดี๋ยวนี้มันหายาก” ยายกอดหลานเข้ามาแนบตัว

“คนเราก็ต้องตายทุกคนแหละหมอ ถ้าฉันมัวแต่รักษาตัว ไม่ต้องอะไร ก็ต้องเสียค่ารถ ค่าอยู่ ค่ากิน ใครจะมาช่วยออกให้ฉันทุกอย่าง สู้ฉันเก็บเงินที่เหลืออยู่ ส่งให้หลานฉันเรียนไม่ดีหรือ ถึงฉันอยู่อีกไม่นาน ก็ยังพอมีเงินเหลือ แทนที่จะเอาไปรักษาตนเองหมด...เมื่อตายก็ยังมีเงินค่าฌาปนกิจของวัดช่วย...”

ฉันนิ่งอึ้ง ขณะยายทองพูดอย่างไม่เป็นห่วงตนเอง

“แต่...คุณยาย” ไม่ว่าจะชักแม่น้ำทั้งห้าอย่างไรก็ไม่เป็นผล ยายทองกลับไปด้วยคำพูดสุดท้าย พาฉันแทบสิ้นแรง

“หมอ...ชีวิตคนบ้านนอกไม่มีค่าอะไรหรอก ถ้าฉันตายแล้วทำให้ฉันได้เรียนจนจบ ฉันก็ยินดี” วันนี้ฉันไม่เอ่ยปากเล่าเรื่องใดๆ ด้วยเรื่องที่อยากจะเล่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับเด็กๆ เงียบงันกันไปทั้งคันรถเมื่อฉันขับไปเงียบๆ ไม่มีอารมณ์ยกสถานการณ์ใดๆ สอนลูกเหมือนดังเคย เด็กชายกล้าลูกคนโตเอ่ยถามลอยๆ ว่า “วันนี้แม่เป็นอะไร ตาแม่บวมๆ”

“สงสัยแม่จะเขียนนิยายไป ร้องไห้ไปมั้ง” เด็กชายกลางว่า เขาคุ้นเคยดีกับภาพที่ฉันนั่งร้องไห้โฮๆ กับแป้นพิมพ์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ในขณะที่กำลังอินกับบทบาทของตัวละครในเรื่องแต่งของตนเอง บางทีเขาก็วิ่งเข้ามาบอกว่า “แม่ระวังเครื่องคอมฯบ้านเราพังเพราะน้ำตาแม่หยดใส่นะ”

“ทำไมแม่ขี้แยจัง ไม่เหมือนพ่อ” เด็กชายเกนลูกชายคนสุดท้องว่า เขาอายุแปดขวบ เป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าข้างแม่ไม่ว่าเรื่องอะไร

“ไม่มีอะไรหรอกลูก...” ฉันบอกพวกเขา รู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ จนหยาดน้ำตาไหลลงร่องแก้ม “แม่...แม่...เพียงแต่รู้สึกว่า พวกหนูโชคดีที่ได้เรียนหนังสือ ลูกๆ รู้ไหม คนบางคนต้องลงทุนทั้งชีวิตเพื่อให้ลูกหลานของตนเองมีเงินเรียนหนังสือ”

ลูกชายทั้งสามคงไม่เข้าใจ เด็กชายเกนบ่นแต่ว่า “แม่...ถ้าแม่มัวแต่ร้อง เดี๋ยวเกนก็ไปไม่ถึงที่เรียนพิเศษหรอก”

ฉันซับน้ำตา มองไปเบื้องหน้า หมายมั่นว่า ถ้าลูกโตกว่านี้ เข้าใจโลกมากกว่านี้ ฉันจะเล่าเรื่อง “ค่าชีวิต” ของยายทองให้ลูกๆ ฟัง

3 ภูมิใจในตัวลูก

เพื่อน 4 คน ที่ไม่ได้พบกันมานาน30 ปีได้พบกันในงานสังสรรค์จึงคุยกันเรื่องลูกในขณะที่เพื่อนคนที่สี่เข้า ห้องน้ำ

เพื่อนคนที่1 : ลูกเก่งมาก เรียนจบ MBA ไต่เต้าเป็น CEO รวยจนซื้อรถเบนซ์ให้เพื่อนรัก

เพื่อนคนที่ 2: ลูกชั้นเป็นกัปตันเครื่องบินบริษัทเล็กๆ เก่งจนกลายเป็นผู้ร่วมลงทุน ตอนนี้รวยจนซื้อเครื่อง บินส่วนตัวใหม่เอี่ยมให้เพื่อนรักได้

เพื่อนคนที่3: ลูกเป็นวิศวกร ก่อสร้างจนรวยไม่รู้เรื่อง เป็นมหาเศรษฐี ซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ให้เป็นของ ขวัญแก่เพื่อนรัก

ทั้งสามคนแสดงความยินดีแก่กันที่มีลูกแสนเก่ง ร่ำรวย ประสบความสำเร็จในชีวิต ทันใดนั้นเพื่อนคนที่สี่ก็ เดินกลับจากห้องน้ำพอดี ก็ถามว่า "แสดงความยินดีกันเรื่องอะไรล่ะ" "อ๋อก็เรื่องความสำเร็จของลูกพวกเรา เออ แล้วลูกเป็นยังไงบ้าง"

:เพื่อนคนที่สี่ก็ตอบว่า"ลูกชายมันเป็นเกย์ หากินเต้นระบำเปลื้องผ้าในไนต์คลับ" เพื่อนทั้งสามก็พูดพร้อม กันว่า "แหมน่าสงสาร ผิดหวังจังนะ" คำตอบของเขาก็คือ

"ไม่รู้สึกอับอายอะไร ฉันรักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะเป็นลูก และจะว่าไปก็เป็นอาชีพที่ไม่เลวนะ วันเกิดเมื่อสองอาทิตย์ก่อน มันได้ของขวัญเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ แถมเครื่องบินเจ๊ต และรถเบนซ์อีกด้วยนะ "จากแฟน 3 คน"

Thought Experiment

สุดยอดแห่งการคิดคือไม่คิด สุดยอดแห่งการสอนคือไม่สอน สุดยอดแห่งการปกครองคือไร้การปกครองและสุดยอดแห่งอื่นๆอีกมากหลักอันสวยงามแห่งเต๋าเหล่านี้ปรากฎอยู่ในนิยายกำลังภายในหลากหลายเรื่องประโยคที่ดังๆ ก็เช่น "ที่สุดแห่งวรยุทธ์กระบี่คือไร้กระบี่ ไร้กระบวนท่า"บางคนก็ว่างลึกซึ้งคมคาย บ้างก็ว่าเล่นคำกวนประสาทไร้สาระว่าแต่วิทยาศาสตร์ล่ะมองปรัชญา "สูงสุดคืนสู่สามัญ" นี้อย่างไรนานมาแล้วมนุษย์เราเชื่อกันว่าสิ่งที่เรียกว่า "เวลา" ไม่มีอยู่จริง และเรารู้สึกไปเองว่ามันมีอยู่จนกระทั่งทฤษฏีของ ไอแซค นิวตันได้นำเวลามาคำนวณเรื่องการเคลื่อนที่อย่างเป็นรูปธรรมคนเราจึงเชื่อว่าเวลามีอยู่จริง และไหลดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอทั้งจักรวาลแล้วทฤษฏีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ก็กำเนิดมาสะเทือนจักรวาลโดยการมองว่าเวลาเป็นเพียงมิติที่วางอยู่นิ่งๆพวกเราและจักรวาลต่างหากที่เคลื่อนที่ไปบนกาลเวลาและในปัจจุบัน ทฤษฏี ควอนตัมกราวิตี้ กลับบอกนักฟิสิกส์ว่าเวลาไม่มีความหมายเลย และแท้จริงแล้วเวลาอาจเป็นสิ่งที่ไม่มีจริงมาตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ!!

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์บางทีก็วนกลับมาที่จุดเริ่มต้นทฤษฏีเรื่องแรงโน้มถ่วงก็ทำนองเดียวกันเดิมทีคนเราเชื่อว่าดวงดาวเป็นวัตถุบนสวรค์ที่ไร้ซึ่งน้ำหนักและมีคุณสมบัติแตกต่างจากวัตถุบนโลกโดยสิ้นเชิงจนไอแซค นิวตันได้เสนอแนวคิดเรื่องแรงโน้มถ่วงมาประสานโลกกับสวรรค์เข้าด้วยกันดวงดาวบนท้องฟ้าไม่ต่างไปจากก้อนหินที่ถูกแรงโน้มถ่วงดึงดูดไว้และไอน์สไตล์คนเดิมได้เสนอแนวคิดเรื่องทฤษฏีสัมพันธภาพมองว่าอวกาศเกิดการโค้งงออย่างน่าพิศวงไม่จำเป็นต้องเข้าใจรายละเอียดทฤษฏีสัมพันธภาพได้กลืนแรงโน้มถ่วงให้หายไปในอวกาศอีกครั้งและปัจจุบัน บางทฤษฏีก็กลับมามองว่า แรงโน้มถ่วงมีอยู่จริงอีกรอบ!!

ศิลปะเองเมื่อเติบโตไปถึงระดับหนึ่งก็ซ้ำรอยไม่แพ้ประวัติศาสตร์ภาพวาดในสมัยใหม่มักเน้นความเรียบง่ายและลดตัดทอนรูปแบบจนกลับไปคล้ายภาพเขียนสมัยดึกดำบรรพ์การออกแบบก็ก่อกำเนิดตึกรูปร่างเรียบๆ บ้างโชว์วัสดุปูนเปลือยไม่ต่างากพีระมิดบทกลอนก็มีการละทิ้งสัมผัสกลายเป็นกลอนเปล่าที่กลับสู่ความบริสุทธิ์คนเราก็เช่นกันเมื่อไปถึงที่สุดแห่งการเติบโตคือความชราเราจะกลับสู่สามัญเริ่มต้นคือการเป็นเด็กอีกครั้งผู้เฒ่ามักมีธรรมชาติหลายอย่างคล้ายคลึงเด็กทารกจนน่าทึ่งทั้งกระดูกที่ไม่แข๊งแรง การทรงตัวของร่างกายที่ไม่ดีนัก

และการเคลื่อนไหวร่างกายที่ไม่คล่องแคล่วจะว่าไประบบความคิดเป็นเหตุเป็นผลของมนุษย์มีการพัฒนาจนต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นแต่ถ้าสุดยอดแห่งวิธีคิดด้วยเหตุผลคือ การไม่ใช้เหตุผลในการคิดวันหนึ่งมนุษย์อาจวิวัฒนาการจนวิธีคิดด้วยเหตุผลตรรกะ ไม่เหลืออยู่ในเซลล์สมองเลยแต่หันมาใช้สัญชาตญาณและสามัญสำนึกที่ไร้เหตุผลมาห่อหุ้มแทนและเมื่อวันนั้นมาถึง อยากรู้เหมือนกันว่าสุดยอดแห่งความไร้เหตุผลบนโลกที่มีแต่สัญชาตญาณและสามัญสำนึกนั้นแท้จริงแล้วคือเหตุผลที่เราใช้กันทุกวันนี้รึเปล่า

บทความสั้น V.A.D. : Value Added by Design

กรอบแนวความคิดในการเพิ่มมูลค่าของสินค้า (Value Added) ของโลกนอกจากจะเป็นการเปลี่ยนแปลงวัสดุพื้นฐานให้มี ประโยชน์ใช้สอยมากขึ้นด้วยเทคโนโลยีแล้ว การเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วย การออกแบบ (V.A.D. : Value Added by Design) เป็นที่ยอมรับ กันมานานและกำลังเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมากขึ้น แต่แนว ความคิดดังกล่าวดูเหมือนจะไม่โลดแล่นอย่างที่เราอยากให้เป็น จึงเป็น เรื่องที่น่าคิด (และต้องคิด) ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสังคมเราและอุปสรรค ที่ว่านั้นคืออะไรแก้ไขได้หรือไม่ แก้ไขได้ที่ใดบ้าง (และอะไรที่ต้องยอม รับโดยแก้ไขไม่ได้) แก้ไขอย่างไร…จึงเป็นที่มาของบทความอ่านสบาย ๆ (กึ่งประชดประชัน) อย่างยาวๆ นี้ครับการเพิ่มมูลค่าด้วยการออกแบบมีกรอบความคิดที่อาจจะสรุปสั้นๆได้ว่า...“เป็น การออกแบบที่ต้องสนองปมทางจิตใจของมนุษย์ แสวงหาความต้องการเบื้องลึกในใจของผู้บริโภค นำเสนอ ความแปลกใหม่ สนองกิเลสตันหา ความสะดวก ความเพลิดเพลิน ความงดงามและความปลอดภัย” …หากสินค้า (หรือการบริการ) ใด สามารถเข้าถึงจุดที่ว่ามาข้างต้นได้สินค้า (หรือการบริการ) นั้นก็จะเป็นที่ ยอมรับและประสบความสำเร็จ

8 ข้อคิด-ข้อมูล .......ที่อาจทำให้การเพิ่มคุณค่าสินค้าด้วยการ ออกแบบของเมืองไทยไม่แล่นลิ่ว ปัจจัยที่ใช้พิจารณาหาข้อคิดและ ข้อมูลของอุปสรรคที่ว่านี้จับความตั้งแต่ลักษณะประจำตัวของคนไทย ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่อง ลักษณะการบริหารสังคมการเรียนการสอน และข้อมูลเมืองไทยกับโลกาภิวัตน์…เป็นการเขียนบันทึกอย่างสบายๆ เป็นการเขียนบันทึกเพื่อหาเหตุที่มาวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยจิต อันเป็นกุศล ….หากผู้อ่านจะเห็นด้วยในสิ่งที่บันทึกนี้หรือไม่ ไม่ใช่ปัญหา แต่หากผู้อ่านได้อ่านแล้วเกิดความรู้สึกรักชาติรู้สึกเห็นว่าปัญหาเหล่านี้ เกิดขึ้นจริงและผู้อ่านเกิดความรู้สึกว่าบางอย่างในสังคมเราจะต้อง มีการแก้ไข ต้องพยายามช่วยกันแก้ไข…ความรู้สึกนั้นคือความตั้งใจ และเป็นที่มาของบทความนี้....ข้อคิด-ข้อมูล ที่อาจทำให้การเพิ่มคุณค่าสินค้าด้วยการ ออกแบบของเมืองไทยไม่แล่นลิ่ว...

1. ค รู อ อ ก แ บ บ ศิ ล ป์ ไ ท ย แ ต่ โ บ ร า ณ จ ะ ห ว ง วิ ช า แ ล ะ ข า ด ก า ร จ ด บั น ทึ ก เพราะส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการถ่ายทอดจาก บุคคลสู่บุคคล มีครูช่างจำนวนไม่มากนักที่จะเปิดเผยและเผยแพร่ กลยุทธในการออกแบบสู่สาธารณะหรือบุคคลทั่วไป อีกบางครั้งยังมี ธรรมเนียมเชื่อปฎิบัติของลูกศิษย์อีกในเรื่องของการออกแบบหรือ การทำงานที่ไม่ตรงกับที่ครูช่างเคยทำกันมา เรียกว่าเป็นการ “ผิดครู” จึงทำให้ระบบและแนวความคิดในการออกแบบถูกจำกัดไม่ให้ มีการขยายแนวความคิดออกไปสู่สิ่งใหม่ เป็นการย่ำเท้าตามรอยเดิม และสร้างวิถีปฎิบัติการ “ลอกแบบ” กันในสังคมของนักออกแบบไทย มาแต่โบราณ งานศิลปกรรมหรือสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าในอดีต ของไทยจึงเป็นระบบประเพณีนิยมการถ่ายทอดมากกว่าการสร้าง สรรค์สิ่งใหม่ให้เกิดความหลากยุคหรือเกิดการสะท้อนความเป็นอยู่ ของชุมชนน้อยกว่าที่ควรจะเป็นแต่ก็ยังโชคดีที่ประเทศไทยนั้นมี ครูช่างบางท่านที่เป็นอัจฉริยะบุคคล ผู้สร้างงานต้นแบบที่มีคุณภาพ อย่างยิ่งทำให้ระบบการลอกแบบที่ลอกแบบจากสิ่งที่มีคุณภาพสูงยิ่ง เป็นงานที่ยอมรับกันได้

2. ร ะ บ บ ก า ร ศึ ก ษ า ไ ท ย เ ป็ น ก า ร ส อ น ใ ห้ ล อ ก แ บ บ มากกว่าการสอนให้สร้างสรรค์ หมายถึงระบบการศึกษายุคใหม่ในวิชา ศิลปะในโรงเรียนมากมาย ที่อาจารย์มักให้นักเรียนวาดรูปหรือทำงาน ศิลปหัตถกรรมตามตัวอย่างที่อาจารย์นำมาให้เป็นแบบ นักเรียน จะต้องพยายามลอกแบบให้เหมือนหรือใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะทำเช่นนั้นมากที่สุดเท่าไร จะได้คะแนนเรียนสูงขึ้นมากเป็น เกณฑ์หากนักเรียนผู้ใดมิได้ลอกแบบตามที่อาจารย์ต้องการหรือมี ความคิดในการปรับแต่งสร้างจินตนาการตนเองขึ้นมา (ซึ่งส่วนใหญ่ จะยังไม่สามารถผลิตงานที่ดีมากๆ ได้ เพราะเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของ การสร้างสรรค์) ก็จะถูกอาจารย์ต่อว่าและให้คะแนนเรียนในงานชิ้นนั้นๆ ต่ำ เหตุที่เกิดอาจจะพิจารณาออกได้เป็น 2 ประเด็นคือประเด็นแรกเป็นเพราะอาจารย์เอง ก็เคยร่ำเรียนมาด้วย ระบบการลอกแบบเช่นนั้นมา จึงนำมาใช้กับนักเรียนของตนเองโดยไม่เข้าใจหรือยังคิดวิธีการสอนที่ดีกว่า นั้นไม่ได้ หรืออีกประเด็นหนึ่งก็คือ อาจารย์เองไม่มีความรู้ความสามารถในการออกแบบสร้างสรรค์ที่ดี เพียงพอจึงไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่ดีกว่าให้กับนักเรียนของตนเองได้ และผลจากระบบการเรียนเช่นนี้ ทำให้ประเทศไทยเราไม่สามารถ กระจายความสามารถในการออกแบบสร้างสรรค์ให้เป็นฐานที่ใหญ่ เพียงพอ ไม่สามารถสร้างความเข้าใจทางด้านศิลปะให้ฝังรากลึกเข้าไป ในความเข้าใจของประชาชนเป็นระบบการสร้างให้นักเรียนเป็น “นักลอกแบบ (Copier)” มากกว่าเป็น “นักออกแบบ (Designer)” สร้างให้เหล่านักเรียนเป็นเพียง “ช่างฝีมือ (Skill Work Man)” ที่ผลงานออกมาด้วยความชำนาญมากกว่าที่จะเสริมสร้างให้นักเรียน ตนเองนั้นเป็น “นักสร้างสรรค์ (Creater)” ที่พยายามสร้างสรรค์ งานศิลป์ใหม่ๆ ขึ้นและผลที่ตามมาก็คือ......สังคมไทยเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจการ เสพทางรสนิยมที่ดีเพียงพอ ถูกกำหนดความต้องการและความรู้สึก ของตัวเอง (ที่ตนเองคิดว่าคือรสนิยม) ให้เป็นไปตามกระแสความนิยม (กระแสการตลาด) ที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ใช้ความรู้สึกบริสุทธิ์ที่ สร้างสรรค์ของตนเป็นผู้เลือกใช้ ซึ่งปัจจุบันกระแสเหล่านี้มักจะ มาจากนอกประเทศเกือบทั้งสิ้นการเรียนประวัติศาสตร์อย่างท่องจำ สร้างความเบื่อหน่าย และทำลายภูมิปัญญา ทั้งที่ประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่มีประวัติ อันยาวนาน เป็นประเทศที่มีงานศิลป์ที่เป็นเอกลักษณ์ที่คนทั่วโลกยอมรับ แต่ครั้นเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ระบบการผลิตด้วยเทคโนโลยี ต่างๆ เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ความสามารถในการปรับตัวของประชาชนไทยมีน้อย เกิดการขาดช่วงขาดการต่อเนื่องเพราะระบบการเรียน ประวัติศาสตร์ของไทย เป็นระบบการเรียนแบบท่องจำไม่เน้นเรื่อง แนวคิดและเหตุผล ที่มาของประวัติศาสตร์เหล่านั้นเป็นตำราเรียนที่อยู่ ในกรอบของผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจต้องการให้นักเรียน นักศึกษา รู้เพียง ผลที่ตนเองต้องการให้รู้ เป็นการเรียนเพียงแง่มุมเดียวของเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในอดีต ทำให้เป็นที่เบื่อหน่ายของนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักเรียนในวัยรุ่นที่เป็นวัยต้องการแสวงหา และมีคำถามในสิ่งรอบตัว ทำให้นักเรียนที่จะได้คะแนนดีเป็นนักเรียนที่มีความสามารถในการ ท่องจำ ไม่ใช่นักเรียนนักศึกษาที่มี เหตุและผล ภูมิปัญญาหลายอย่าง ของไทยรวมถึงภูมิปัญญาทางศิลป์ จึงถูกจำกัดอยู่เพียงรูปแบบสุดท้าย ไม่ทราบเหตุผลที่มา (เช่น เรียนรู้ว่าหลังคาบ้านไทยจะต้อ งเป็นจั่วทรง สูงเจดีย์ไทยจะต้องมีทรงกลมหรือเป็นลักษณะการย่อมุมไม้ 12 โดยไม่จำเป็นที่จะต้องทราบว่า...ทำไมหลังคาบ้านทรงไทยจึงต้องเป็นรูปจั่วทรง สูงหรือเจดีย์ไทยทำไมต้องย่อมุมโดยรอบเป็นหยักเหลี่ยมๆ 12 มุม)ทั้งๆ ที่สิ่งต่างๆ ที่บรรพบุรุษไทยสร้างขึ้นมาเป็นประวัติศาสตร์และ เป็นมรดกให้ลูกหลานไทยนั้นล้วนแต่มีเหตุมีผลและมีภูมิปัญญาแฝง ไว้อยู่เกือบทั้งสิ้น จึงเป็นที่น่าเสียดายว่าระบบการเรียนประวัติศาสตร์ ของไทยกลายเป็นสิ่งเร่งเร้าให้เยาวชนของชาติถอยห่างจากการเชื่อม ต่อของภูมิปัญญาบรรพบุรุษไทยระบบการศึกษาและระบบการบริหารไทย ไม่สร้างเสริม ให้ใช้สมองครบ 2 ด้าน โดยที่สมองของมนุษย์โดยปกติจะมี 2 ด้าน ด้านขวามือนั้นจะเป็นเรื่องของความคิดที่เป็นระบบที่มีเหตุมีผล (Order) และสมองซีกซ้ายมือเป็นสมองที่เป็นความคิดด้านการสร้าง สรรค์ (Creative) ซึ่งระบบการวัดผลที่ใช้เชิงจำนวนมากกว่าคุณภาพ (Quantitative not Qualitative) เพราะเป็นการใช้เกณท์ตัดสิน ที่ง่ายต่อการตัดสินมากที่สุด การให้คะแนนนักเรียน นักศึกษา ของไทย ในระบบการศึกษาทั่วไป หรือการให้รางวัลตำแหน่งเพิ่มขึ้นหรือลดลง ในระบบการบริหารองค์กรก็จะเป็นเชิงจำนวนมากกว่าเชิงคุณภาพ (เพราะแม้การวัดเชิงคุณภาพก็พยายามที่จะเอาจำนวนเข้ามาเป็น ดัชนีชี้นำ) ซึ่งจากระบบการศึกษาและระบบการบริหารเช่นนี้ทำให้ นักเรียนและอาจารย์ ลูกน้องและเจ้านาย ลูกจ้างและนายจ้าง ต่าง พยายามที่จะใช้สมองซีกขวา (Order) ในการทำงานและการแก้ ปัญหา การบริหาร การใช้สมองซีกซ้าย (Creative) ก็จะลีบเล็กเรียวลง กลาย เป็นสังคมที่กลัวต่อการนำเสนอสิ่งใหม่จากผู้ที่ไม่มีอำนาจ หรือผู้ที่มี สิทธิต่ำเพราะผู้ที่มีอำนาจมากกว่าไม่มีเครื่องรับทำความเข้าใจต่อการ นำเสนอของผู้ที่ด้อยกว่า แล ะผู้ที่ด้อยกว่าก็ไม่อยากจะนำเสนอสิ่งใหม่ ที่เป็นความสร้างสรรค์เพราะเกรงจะผิดต่อกฎเกณฑ์หรือไม่เป็นที่พอใจ หรือเกรงว่าจะสร้างความรำคาญกับผู้ที่มีอำนาจมากกว่าเคยคิดไหมว่าทำไมนักออกแบบไทยจึงเป็นเพียง เยาวชนวีรชน หากติดตามข่าวสารในรอบ 20 ปีเกี่ยวกับการประกวด ผลงานที่เกี่ยวข้องกับศิลป์ของโลก จะพบว่าเด็กไทยจำนวนมากได้ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยโดยการชนะการประกวดระดับโลก หลายรางวัลเป็นเยาวชนจากทั่วประเทศที่ไม่ได้จำกัดเพียงที่ศึกษา อยู่ในสภาพแวดล้อมของกรุงเทพมหานคร เยาวชนนักเรียนไทยจาก อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย (ลูกศิษย์ครูสังคม ทองมี) เป็นเยาวชนไทย กลุ่มแรกที่ชนะการประกวดภาพเขียนเยาวชนระดับโลก หลังจากนั้น นักเรียนจากหลายโรงเรียนก็เข้าร่วมประกวดและชนะงานระดับโลก มากมาย นิสิต นักศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ หลากหลาย สถาบันทั่วประเทศเช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยศรีปทุม สถาบันเทคโน โลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังฯลฯ ก็ชนะการประกวด ระดับโลกของ U.I.A. (Union of International Architect) จนนักเรียน นิสิต นักศึกษาไทย เป็นที่เกรงขามต่อวงการออกแบบ ทั่วโลกแต่ครั้งเมื่อเหล่านักเรียนนิสิตนักศึกษาเหล่านั้นเติบโต ขึ้นเป็นผู้ใหญ่ความสามารถในการแข่งขันนั้นหมดไป ยากที่จะหา เยาวชนผู้มีความสามารถในอดีตและปัจจุบันเป็นผู้ใหญ่แล้วจะชนะ การประกวดใดๆ ในระดับโลกอีก จึงอาจจะสันนิษฐานได้ว่าปัญหาอยู่ที่ การเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมของเขาเหล่านั้น ซึ่งเมื่อครั้งยังเป็น เยาวชนอยู่เขาได้รับโอกาสและได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์ผู้มุ่งมั่น บางท่าน ให้กล้าคิดและกล้าแสดงออกให้กล้ารังสรรค์และสร้างสรรค์ สิ่งใหม่เพื่อการออกแบบที่ดีกว่าแต่เมื่อเขาออกจากสถาบันที่ให้โอกาส กับสมองซีกซ้าย (ซึ่งมีความสามารถด้าน Creative) ไปแล้วเข้าสู่สังคม ที่ไม่ยอมรับและไม่ให้โอกาสพวกเขาได้คิดและนำเสนอ สังคมที่ไม่ สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยด้วยกันเอง สังคมที่ไม่ได้ ชื่นชมคนไทยกันเอง สังคมที่ต้องการกระแสเพื่อตัดสินรสนิยม เหล่า เยาวชนไทยเหล่านั้นก็จำต้องละทิ้งความสามารถในเชิงออกแบบและ สร้างสรรค์ไปเพื่อความอยู่รอดในการดำเนินชีวิตและหมดโอกาสที่จะ แสดงความสามารถสู่สาธารณชน

3. ง า น ศิ ล ป์ ไ ท ย เ ริ่ ม ก ล า ย เ ป็ น ท า ส ฝ รั่ ง และอาจจะรวม ญี่ปุ่นแลเกาหลีในอนาคตอันใกล้ จากระบบการเรียนการสอน ประวัติศาสตร์ของไทย จากระบบการศึกษาการลอกแบบของไทยที่ สร้างแต่ช่างฝีมือมากกว่านักออกแบบ สร้างนักลอกแบบมากกว่านัก สร้างสรรค์ การขาดการต่อเชื่อมความสามารถและความภาคภูมิใจใน ภูมิปัญญาบรรพบุรุษ รวมถึงไม่เสริมให้สังคมมีรสนิยมที่ดีของตนเอง แต่นิยมสร้างรสนิยมตามกระแสต่างชาติจึงเห็นได้ว่างานศิลป์ต่างชาติ กลายเป็นกระแสหลักของคนไทย ตั้งแต่อาคารรูปทรงโรมันที่กระจาย เกลื่อนกลาดทั่วประเทศ (ทั้งๆ สภาพแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้ สอยของไทยกับโรมันนั้นแตกต่างกันมาก แต่คนไทยเองก็พยายาม จะลอกแม้รูปแบบภายนอกมาก่อสร้าง) แฟชั่นเสื้อผ้าหรือชุดแต่งกาย ที่ลอกเลียนต่างประเทศในทุกฤดูกาล (ทั้งที่ประเทศไทยกับประเทศ ทางตะวันตกนั้นมีฤดูกาลที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง) หรือแม้แต่ภาพวาด ก็จะตัดสินกันด้วยรสนิยมและกระแสของต่างชาติเป็นสำคัญ สิ่งเหล่า นี้ค่อยก้าวเคลื่อนเข้าครอบงำคนไทยหลังการเปิดประเทศจริงจังและกระแสการครอบงำโดยความพร้อมใจของคนไทยเองนั้นก็รุนแรงมาก ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อระบบการติดต่อสื่อสารของโลกมีความรวดเร็วชัดเจน และแม่นยำมากขึ้น อีกทั้งในปัจจุบันกระแสจากประเทศญี่ปุ่นเริ่มเข้า มาอย่างรุนแรงมากขึ้น โดยเข้ามาด้วยแฟชั่นเครื่องประดับเครื่อง แต่งกายของวัยรุ่นก่อน อาจจะน่าเป็นห่วงว่านอกจากคนไทยเราจะขาด ความเข้าใจในภูมิปัญญาของคนไทยกันเองขาดความสามารถในการ ออกแบบสร้างสรรค์เอง ขาดการฝึกฝนกล่อมเกลาให้มีรสนิยมที่ดี ของตนเองแล้ว ยังใช้การลอกแบบจากต่างประเทศและคิดว่าสิ่งนั้น คือการออกแบบและสร้างสรรค์กรณีศึกษาการออกแบบตราสัญลักษณ์ของบริษัท การบินไทย เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเรื่องความไม่เชื่อในความ สามารถของคนไทยด้วยกันเอง มีผู้บอกว่า…เมื่อครั้งก่อตั้งบริษัท การบินไทยขึ้นนั้น จำเป็นที่จะต้องมีตราสัญลักษณ์ของตนเอง มีการ นำเสนอความคิดเกี่ยวกับตราสัญลักษณ์หลากหลายโดยศิลปินไทย แต่ไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริหารยุคนั้นเพราะเชื่อว่า คนไทยด้วยกันเอง จะมีความสามารถทางการออกแบบงานติดต่อระหว่างประเทศไม่ดี เพียงพอ จึงตัดสินใจว่าจ้างบริษัทออกแบบต่างชาติด้วยค่าบริการที่ แพงกว่าจ้างคนไทยด้วยกันเองเป็นสิบเท่า ซึ่งชาวต่างชาติที่ออกแบบ นั้นก็ต้องทำการกลับมาศึกษาศิลปวัฒนธรรมไทย ภูมิปัญญาไทย และในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะเลือกเอา “ชฎา” ไทยเป็นรูปแบบหลักในการ พัฒนาความคิดและในที่สุดก็ออกแบบมาเป็นสัญลักษณ์รูป “เจ้าจำปี” อย่างที่ใช้กันปัจจุบันสร้างความท้อถอยให้กับศิลปินไทยจำนวนมาก ท้อถอยเนื่องจากไม่เข้าใจว่า ทำไมผู้บริหารของไทยไม่เชื่อมั่นคนไทย ด้วยกันเองและทำไมจึงปล่อยให้รูปแบบสัญลักษณ์แบบนั้นออกมาเป็น ตัวแทนของสายการบินแห่งชาติได้อย่างไร มีคำถามอีกมากมายตามมา ดังตัวอย่างคำถามเช่น• ทำไมชฎาที่เป็นของสูงจึงนำมาตะแคงข้างแบบนั้น ?• ชฎามิได้เป็นสัญลักษณ์ของการติดต่อเคลื่อนไหว หรือขนส่งใดๆ เลย ทำไมเอามาเป็นต้นแบบเพื่อสร้างแนวความคิดใน การออกแบบ (Conceptual Design)?• ทำไมคนทั่วไปจึงเห็นและเรียกสัญลักษณ์นั้นว่า “เจ้าจำปี”?กรณีศึกษานี้เป็นเพียงกรณีศึกษาเล็กเพียงกรณีเดียว ที่บอกเล่าเหตุการณ์ และปรากฎการณ์ของสังคมไทยเกี่ยวกับงานศิลป์ ได้มากมาย ทั้งระบบความเชื่อ ระบบการนับถือชาวต่างชาติที่ลึกอยู่ ภายในใจ การตัดสินงานโดยไม่พิจารณาถึงภูมิปัญญาและเหตุผล ฯลฯ เป็นกรณีศึกษาที่ต้องพิจารณาหากยังต้องการที่จะพัฒนาให้การออกแบบ เป็นเครื่องมือในการเพิ่มมูลค่าของสินค้าและการบริการของประเทศไทย

4. ชนบทไทยขาดจิตแห่งการสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพราะ ถูกครอบงำจากเมืองใหญ่ ซึ่งต่างกับหลายประเทศที่ย้อนแนวกัน ชุมชนที่มีประชากรส่วนใหญ่ของประเทศอาศัยอยู่ของประเทศไทย ก็เช่นเดียวกับเกือบทุกประเทศในโลก คือชุมชนในต่างจังหวัดแต่ละ แห่งก็จะมีเอกลักษณ์ศิลป์ที่เป็นของตนเอง เนื่องจากการย้ายถิ่นฐาน และลักษณะเผ่าพันธุ์จะผูกติดกันไว้ แต่ด้วยระบบการปกครองของ ประเทศไทยเป็นระบบรวมศูนย์การนำศิลป์จากเมืองหลวงไปใช้ ในท้องถิ่นต่างๆจะเป็นเรื่องธรรมดาจนกระทั่ง 50 ปี หลังมานี้ ระบบ การขนส่ง ระบบการติดต่อข่าวสารและระบบการบริหาร แบบรวมศูนย์ รุนแรงและรวดเร็วขึ้น ทำให้เกิดการหลั่งไหลของศิลป์ และรสนิยม จากส่วนกลางเข้าไปมีอิทธิพลและครอบงำศิลป์พื้นถิ่น อย่างรุนแรง และบางครั้งก็หมดจดยิ่ง ศิลป์ท้องถิ่นก็เริ่มสูญหายไปและมีโอกาส ที่จะสูญหายไปอย่างถาวรถ้าคนรุ่นใหม่ของชุมชนท้องถิ่น นั้นลืมตา ดูโลกและเสพวัฒนธรรมศิลป์จากส่วนกลางตั้งแต่เกิดจนนึกว่าเป็น ศิลป์ท้องถิ่นของตนเองตัวอย่างของอิทธิพลนี้ได้แก่วัดวาอาราม ที่เอาแบบไป จากกรุงเทพมหานคร สร้างเหมือนกันทุกชุมชนของประเทศหรือ อาคารประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอาคารขนาดเล็กอย่างป้ายรถเมล์ จนถึงอาคารขนาดใหญ่และเป็นอาคารรวมศูนย์กลางของมวลชน เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ศาลากลางจังหวัด ศาลจังหวัด สถานีตำรวจก็ เป็นลักษณะเดียวกันหมด ที่ถูกจัดส่งจากกรุงเทพมหานคร สู่ทั่วทุก ท้องถิ่นทั่วประเทศนอกจากงานอาคารที่เป็นงานที่เห็นได้ง่ายที่สุดแล้ว งาน ศิลปหัตถกรรมต่างๆ ที่ท้องถิ่นเคยมีความสามารถในการผลิตก็ถูก แย่งพื้นที่โดยวิทยาการเทคโนโลยี หรือรูปแบบทางศิลป์จากส่วนกลาง อีกด้วยไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องปั้นดินเผา ฯลฯซึ่งการเข้ามาทาง เทคโนโลยี ที่มีความสามารถในการผลิตที่รวดเร็วแม่นยำ มีมาตรฐานที่ ผลิตออกมาเหมือนๆ กันจำนวนทีละมากๆ รวมถึงการแข่งขันทางด้าน ราคา ความสามารถทางการตลาดจึงเป็นเหตุให้การผลิตผลิตภัณฑ์ ท้องถิ่นน้อยลงหรือผลิตแล้วอาจจะไม่ได้มาตรฐานที่ส่วนกลางวาง เกณฑ์เอาไว้ การถูกกดราคาด้วยวิธีกรรมต่างๆ นานา ของผู้ลงทุน หรือคนกลางทำให้การเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์ ที่อิงกับศิลป์ท้องถิ่น ถดถอยอ่อนแอลง ขาดเวลา ขาดแรงดลใจที่จะสร้างสรรค์หรือรังสรรค์ ศิลป์ใหม่ๆ และขาดความคิดที่จะปรับปรุงให้ผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่น นั้นมีคุณค่าทางศิลป์เพื่อเพิ่มมูลค่าขึ้นไป

5. ความเชื่อที่งมงาย ความเชื่อเพียงรูปแบบทางพิธีกรรมและซินแสหมอผี ทำลายงานศิลป์และความคิดสร้างสรรค์ อาจจะเพราะสังคมไทยเห็นความสำคัญทางด้านวัตถุและความร่ำรวย มากขึ้นทุกวัน อาจจะเป็นเพราะสังคมไทยในปัจจุบันขาดความอบอุ่น มากขึ้น อาจจะเป็นเพราะสังคมไทยขาดความลุ่มลึกทางศีลธรรม มากขึ้น หรืออาจจะเป็นเพราะสังคมไทยมีความขลาดเขลาต่อความจริง มากขึ้น ความเชื่อที่งมงายด้วยพิธีกรรมแปลกๆ จึงเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วอีกทั้งยังมีวัฒนธรรมความเชื่อจากต่างประเทศเข้ามาในสังคม ไทยด้วยระบบการเดินทางสื่อสารที่รวดเร็วขึ้น สื่อแห่งความไม่รู้นี้จึง ถาโถมเข้ามาครอบงำประชาชนไทยจำนวนไม่น้อย และเมื่อมีความเชื่อ และมีพิธีกรรมที่งมงามเหล่านี้เกิดขึ้น ศิลป์ไทยหลายอย่างจึงถูกท้า ทายและทำลาย งานศิลปสถาปัตยกรรมถูกละทิ้งและหลีกเลี่ยง (เช่น ซินแสที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งบอกว่า บ้านไทยมีลักษณะเหมือนตัวแมลง มีเสาเรือนเหมือนกับขาของแมลง หากใครอยู่หรือใช้เรือนไทยจะมีชีวิต ที่ไม่ยั่งยืน เพราะว่าจะเหมือนแมลงที่เกิดขึ้นและตายไปอย่างรวดเร็ว เป็นต้น) หรือวัฒนธรรมความเชื่อในการใช้สีดำทาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อ บูชาพระราหู (โดยทาทับลวดลายสีทองและสีแดงชาดอันเป็นศิลป์ ไทยไปให้หมด) หรือการสร้างลวดลายแปลกประหลาดเพื่อประดับ ประดาตามที่ต่างๆหากกระแสของสังคมไทย ยังต้องการเพียงความ เพิ่มพูนทางทรัพย์ ยอมทำพิธีกรรมแปลกประหลาดและขัดแย้งทำลาย ศิลป์ไทยไปเรื่อยๆ มีลักษณะของการลอกแบบขึ้นมาเป็นสำคัญ นอกจากศิลป์ไทยจะเสื่อมหายไปอย่างรวดเร็วแล้ว ฐานความรู้ทาง ศิลป์ทั่วไปในประชาชนไทยก็จะค่อยๆ ถูกทำลายไปด้วย

6. การพัฒนาเพียงทางวัตถุจากตะวันตกอย่างผู้ไม่รู้ สร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา (แนวความคิดแบบ Modernization without Development) อาจจะเป็นเพราะประเทศไทยต้องการ ความเจริญเติบโตอย่างเขย่งก้าวกระโดดการพัฒนาต่างๆ จึงเน้นทาง ด้านวัตถุเป็นสำคัญ ขาดการพัฒนาและส่งเสริมวัตถุที่ผลิตนั้นๆ ให้มีคุณค่าทางศิลป์ไปด้วยแนวความคิดการแก้ปัญหาหลายอย่างจึงเป็น การคัดลอกมาหรือนำเข้ามาอย่างขาดการปรับปรุงให้เหมาะสมกับ สังคมไทย (Transplant) มากกว่าจะเป็นการนำเข้ามาปรับปรุงและ ออกแบบที่เหมาะสม (Transfer) ตั้งแต่การพยายามถมคลองเพื่อสร้าง ถนน ทางด่วนและรถไฟฟ้า ที่เข้าใจได้เพียงประโยชน์ใช้สอยทางวัตถุอย่างเดียว ขาดความงดงามและคุณค่าทางจิตใจโดยสิ้นเชิง ซึ่งจะ แตกต่างจากแนวความคิดปัจจุบันของประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก ที่ ต้องการสร้างเมืองใหม่ สร้างวัตถุใหม่ สร้างสาธารณูปโภคใหม่โดยจะ คำนึงถึงเรื่องศิลป์เป็นสำคัญ เพราะประเทศเหล่านั้นเล็งเห็นว่า นอกจากวัตถุจะทำให้ร่างกายคนเรามีความสะดวกแล้วจิตใจก็เป็น เรื่องสำคัญที่จะต้องมีสุนทรียภาพด้วยอาจจะเป็นเพราะว่าคุณค่าทางศิลป์และความงาม เป็นสิ่งที่ตัดสินด้วยตัวเลขยากหรืออาจจะเป็นเพราะผู้มีอำนาจสั่งการ เป็นผู้ที่ขาดความเข้าใจทางศิลป์และการออกแบบ หรืออาจจะเป็น เพราะเมืองไทย ต้องการจำนวนมากกว่าคุณภาพ ทำให้สิ่งต่างๆ ที่ เกิดขึ้นใหม่ในประเทศไทยยุคหลัง มีเพียงประโยชน์ใช้สอยเฉพาะ สิ่งที่ทำขึ้นนั้นๆ ขาดการออกแบบเพื่อเพิ่มมูลค่าทางสิ่งแวดล้อม ชีวิตความเป็นอยู่และศิลป์ไปเกือบสิ้นเชิง นับเป็นการทำลาย ความสามารถในการออกแบบของเยาวชนไทย อย่างค่อยเป็น ค่อยไปได้

7. ภูมิปัญญาไทยและศิลป์ของไทยหลายประการ ถูกทำลายโดยนักบริหารหรือผู้ที่มีอำนาจ จากความเชื่อที่ไม่เข้าใจในศิลป มีผลิตผล ออกมาเป็นธูปยักษ์ ผ้าขาวม้ายาวที่สุดในโลก เทียนคอนกรีตสูงเสียดฟ้า เป็นความน่าละอายที่ต้องยอมรับ เพราะการค้าที่จำเป็นต้องพึ่งแฟชั่นที่มาเร็วไปเร็ว ทำให้ศิลป์ไทยขาดความต่อเนื่องและขาดการปรับปรุงให้เหมาะสมกับยุคสมัยแนวความคิดที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ใดที่เป็นที่ยอมรับและสร้างความสนใจจึงขาดฐานความเข้าใจทางการ ออกแบบ ศิลปินไทยจึงไม่เป็นที่ยอมรับ ความคิดสร้างสรรค์เพื่อหาสิ่งใหม่ที่ดีกว่าหรือน่าสนใจกว่าจึงอยู่ในความ คิดและการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจตามอำนาจที่รัฐมอบหมายหรือผู้มี อำนาจเพราะมีผู้เชื่อถือ (เช่นพระสงฆ์) หรือผู้มีอำนาจเพราะมีทรัพย์มาก บุคคลเหล่านี้มิได้มีความลุ่มลึกและความเข้าใจทางศิลป์เพียงพอจึงยึด เรื่อง “ขนาด” ตามระบบวัตถุและทุนนิยมเป็นสำคัญจึงมีผลงานที่ ปรากฎในประเทศไทยมากมายที่ได้เพียงความสนใจ (บางท่านสนใจ ด้วยความชื่นชมแต่บางท่านอาจจะสนใจด้วยความสมเพช) เกิด ปรากฎการณ์ความต้องการที่จะเอาตนเองให้อยู่ในบันทึกของสถิติ ต่างๆ (เช่นในกินเนสบุ๊ค เป็นต้น) กลายเป็นการสร้างรูปจำลองของธูป ขนาดใหญ่มากๆ (เช่นธูปยักษ์ที่จังหวัดนครปฐมซึ่งล้มลงมาคร่าชีวิต ผู้บริสุทธิ์ไปแล้ว) กลายเป็นผ้าขาวม้าขนาดยาวและใหญ่ที่สุดในโลก เกิดการสร้างเทียนพรรษาด้วยคอนกรีตขนาดใหญ่มากกลางเมือง ขาดความงดงามและคุณค่าทางศิลป์อย่างยิ่งปรากฎการณ์เหล่านี้ เป็นปรากฎการณ์ที่ไม่มีประเทศ ใดในโลกนิยมมากเช่นเมืองไทย ประเทศส่วนใหญ่จะสนใจเรื่องความ งามทางศิลป์มากกว่าขนาดใหญ่โต ผู้บริหารและผู้มีอำนาจจะเข้าใจ คุณค่าของศิลป์ มากกว่าขนาดที่เพียงต้องการลงในบันทึกและเพราะ อำนาจที่ขาดความลุ่มลึกเข้าใจเหล่านี้เองเป็นส่วนสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ทำลายภูมิปัญญาศิลป์ของไทยที่นานาประเทศยอมรับไปอย่างสิ้นเชิงผ้าไทยเป็นอีกตัวอย่างของความไม่เข้าใจตลาดและ ขาดความคิดสร้างสรรค์ แม้นโยบายของรัฐบาลไทยในปัจจุบันเรื่อง “หนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล” เป็นนโยบายที่พยายามส่งเสริมให้ท้องถิ่น แต่ละท้องถิ่นผลิตผลิตภัณฑ์ของตนเอง ซึ่งชุมชนต่างๆ มากมาย กระจายทั่วประเทศจะทำการผลิต “ผ้า” และส่วนใหญ่จะเป็นการผลิต โดยการออกแบบดั้งเดิมและเกือบทุกแห่งทั่วประเทศจะมีลักษณะ ลวดลายที่คล้ายคลึงกัน ชาวชุมชนผู้ผลิตมักไม่ค่อยมีรายได้มากขึ้น เนื่องจากเกิดปัญหาอุปทาน (supply) มากกว่าอุปสงค์ (demand) ผลิตภัณฑ์ต้องมีการแข่งขันกันทางด้านราคาการพยายามส่งเสริมด้วย การออกแบบมักคิดเพียงแค่ “ลวดลาย” เท่านั้นและลวดลายที่คิดขึ้น มาใหม่ก็ยังติดอยู่กับลวดลายเดิม เนื่องจากมีข้อจำกัดทางการผลิต ทั้งบุคคลและอุปกรณ์ กรณีตัวอย่างของนายจิม ทอมสัน ผู้นำผ้าไหม ไทยให้มีชื่อเสียงทั่วโลก เป็นการทำความเข้าใจในวัตถุดิบ เข้าใจขบวน การผลิต เข้าใจความต้องการของท้องตลาด และเข้าใจในความ สามารถของผู้ผลิตแล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาออกแบบเพื่อเพิ่มมูลค่า (V.A.D.Value Added by Design) จนทำให้ผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้ผลิต มีความสุขและความพอใจด้วยกันทุกฝ่าย หรือเพราะนายจิม ทอมสัน เป็นชาวต่างประเทศเขาจึงเข้าใจในการเพิ่มมูลค่าสินค้าของประเทศไทยหนอ

8. องค์กรไทยทั้งรัฐและเอกชนอาจไม่เกื้อหนุนต่อการ สร้างเสริมสะสมความสามารถทางการสร้างสรรค์เพราะการวางแนว ทางของระบบการจัดสรรงบประมาณ เป็นระบบการวัดผลที่ผลิตออก มาจากการใช้เงินแผ่นดินทำให้ต้องการดัชนีที่วัดได้หรือนับได้เพียงทาง วิทยาศาสตร์หรือทางคณิตศาสตร์ การส่งเสริมความสามารถคนไทย หรือธุรกิจไทยด้วยการออกแบบจึงถูกตัดงบประมาณตลอดเวลา เมื่อ เวลาผ่านไปนานเข้า การเพิ่มมูลค่าของสิ่งต่างๆ จึงถูกกำหนดเพียงการ แปรรูปหรือการใส่เพียงเทคนิควิทยาการทางวิทยาศาสตร์เข้าไป เพราะ เห็นผลชัดเจนในเวลาสั้นๆ สามารถวัดหรือนับผลได้ทางคณิตศาสตร์ การเพิ่มมูลค่าด้วยการออกแบบสร้างสรรค์จึงจำเป็นต้องเลือนลางไปนอกจากระบบงบประมาณแล้วหน่วยราชการที่ เกี่ยว ข้องกับการสนับสนุนการออกแบบก็ไปกันคนละทิศคนละทาง เพราะ แม้จะมีหน่วยราชการบางแห่งเล็งเห็นความสำคัญของการเพิ่มมูลค่า สินค้าและการบริการด้วยการออกแบบแต่ลักษณะของหน่วยงานต่างๆ ของรัฐเองก็กระจัดกระจาย ต่างคนต่างทำ ด้อยบูรณาการหรือส่งเสริม แลกเปลี่ยนกันเท่าที่ควรหน่วยงานเหล่านี้มีอยู่หลายกระทรวง เปรียบ เสมือนแขนงไผ่ ที่แยกกันอยู่ไม่เคยมัดรวมเข้าด้วยกันจึงอ่อนแอเปราะ บางไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ดีและมีพลวัตรเพียงพอที่จะเพิ่มมูลค่า ของสินค้าและการบริการอันมีหลากหลายของประเทศไทยได้ไม่ สามารถต่อประสานข้อมูลและองค์ความรู้ของบุคลากรที่กระจัด กระจายได้ ไม่สามารถจะนำสินค้าที่หลากหลายตามแหล่งต่างๆ มา รวบรวมกันและคิดวางแผนในระบบบูรณาการได้องค์กรเอกชนไทย ไม่เห็นคุณค่าทางการวิจัยและพัฒนา ทางด้านการออกแบบเพราะการลงทุนพัฒนาการวิจัยหรือการออกแบบ เป็นการลงทุนที่สูงและเห็นผลช้า เอกชนส่วนใหญ่นิยมการลอกแบบ หรือการซื้อผลการวิจัย (และผลการออกแบบ) มาใช้มากกว่า เมื่องบ ประมาณของรัฐไม่สนับสนุน เมื่อเอกชนก็ไม่เห็นคุณค่าทำให้แนวความ คิดและความสามารถในการออกแบบเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าและการ บริการของประเทศไทยไม่เกิดขึ้นหรือที่ได้เกิดขึ้นแล้วหรือที่มีอยู่ แล้วก็จะมีองค์ความรู้ที่ลีบเรียวลงนอกจากนี้แล้วประเทศไทยยังไม่มีมูลนิธิหรือองค์กร ไร้ผลประโยชน์ที่แข็งแรงพอในการสนับสนุนแนวทางส่งเสริมความ สามารถในการออกแบบเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าและการบริการเกือบ ทุกประเทศที่ประสบความสำเร็จในเรื่อง V.A.D. มักจะมีองค์กรไร้ผล ประโยชน์ (Non Profit Organization) หรือมูลนิธิเป็นผู้นำร่องและ ขับเคลื่อน เนื่องจากในการ “คิด” เพื่อออกแบบเพิ่มคุณค่านั้นจะเสีย “เวลา” และ “งบประมาณ” ค่อนข้างสูงโดยอาจจะยังไม่มี “รายได้” เกิดขึ้น เพราะรายได้หรือผลกำไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นในองค์กรอื่นๆ (เหมือนการทำ Research & Development) ดังนั้นเหมือนกับเรื่องนี้ ยังไม่มี “เจ้าภาพ” ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือ N.G.O.บ ท ต า ม แ ห่ ง ค ว า ม ห วั งอารมณ์ขันและความเป็นเจ้าบทเจ้ากลอนไทย… สายใยแห่งศิลปิน รากเหง้าที่รอการปักชำ ประเทศไทยยังโชคดีที่ คนไทยนั้นเป็นคนที่มีอารมณ์ขันสูง มีความเป็นเจ้าบทเจ้ากลอนมาก อารมณ์ขัน และบทกวีนิพนธ์เหล่านี้จะสอดแทรกเข้าอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทย ซึ่งอารมณ์ขันและความเป็นเจ้าบทเจ้ากลอนนี้ผู้เกี่ยวข้องจะต้องใช้ จินตนาการทางศิลป์เป็นพื้นฐานจึงเป็นอุปกรณ์ ในการเร่งเร้าให้สมองซีกซ้าย (ที่เป็นแหล่งความคิดสร้างสรรค์) ได้ทำงานอยู่ ตลอดเวลาไม่ลีบเรียวอาจจะเป็นสิ่งบอกเหตุอย่างหนึ่งได้ว่า....ความสามารถทางด้านศิลป์ของคนไทยเรายังคงสะสมเป็นพลังงานศักย์อยู่ หากมีการสนับสนุนและเสริมสร้างสภาวะที่เหมาะสม พลังงานศักย์ที่หยุดนิ่งอยู่อาจจะกลายเป็นพลังงานจลน์ที่ช่วยขับ เคลื่อนการเพิ่มมูลค่าของสินค้าและการบริการด้วยการ ออกแบบของประเทศไทย….เหมือนรากเหง้าที่รอการ แตกตา แทงราก ฉะนั้นหากประเทศไทย พยายามก้าวจากประเทศเกษตรกรรม ไปเป็นประเทศอุตสาหกรรม แนวความคิดในแง่ของการเพิ่มมูลค่าของ สินค้าถูกจำกัดกรอบอยู่เพียงการแปรรูปของสินค้าด้วยวิธีการทาง วิทยาศาสตร์ หรืออุตสาหกรรมเท่านั้น วิสัยทัศน์ด้านสุนทรีย์จึงยังไม่ จำเป็นที่จะจัดไว้ในกรอบความคิด….อารมณ์ขันไทยอาจเหลือเพียง ตลกบริโภค ความเป็นเจ้าบทเจ้ากลอนไทยคงเหลือเพียงกลอนลามก แดกดันก็เป็นไปได้หนอ

บะหมี่น้ำหนึ่งชาม

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว วันที่ 31 ธันวาคม 2528
ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่ร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโรการกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่นด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี "ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน ในวันนี้คนแน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง โดยปกติแล้วบนถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ เถ้าแก่ของร้าน "ฮอกไก" เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดีในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้านประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคนคนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้านเด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคนส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่า ๆ เชย ๆ

"เชิญนั่งครับ" เถ้าแก่ร้องทักทายออกมาหญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า"ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมค๊ะ"เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก"ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ"เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพงแล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่มทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่องสามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อยกินพลางพูดพลาง"ทานเถอะครับ" ลูกคนพี่พูด"แม่ทานหน่อยสิครับ"ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กินไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยนแล้วทั้งสามคนก็ชมว่า"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)"พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ)

สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปีวันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่าร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมาสองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง22.00น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้นประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคนพอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่า และเชยเถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง"ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยคะ""ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ"เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สองตะโกนไปพลางว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" เถ้าแก่รับคำพลางจุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง "ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า"นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ""ไม่ได้

ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย"สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่านเดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า"เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ"ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้สามแม่ลูก สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลางเสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย"หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริง ๆ ""ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว""ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยนแล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไปสองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่งในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมากสองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน

แต่พอเลย 21.00น.ไปแล้วสองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00น.พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไปพอคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียนไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลังแล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน"30นาทีก่อนเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว"ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สองเหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ22.30น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่งน้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัวเด็กทั้งสองคนโตขึ้นมากส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม"เชิญค่ะ เชิญค่ะ"เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจมองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ยทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า"รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ" "ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ"เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สองแล้วรีบเอาป้าย"จองแล้ว"ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า"บะหมี่น้ำสองชาม""ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ"เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อนสามแม่ลูกกินไปพูดไปดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมากสองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกันในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย"ลูกรัก

วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก""ขอบคุณ ?""ทำไมครับ""เรื่องเป็นอย่างนี้คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บและทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้นในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน""เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ"ผู้เป็นพี่ตอบส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆอยู่หลังโต๊ะทำอาหาร"แต่เดิมนั้นเเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคมแต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว""จริง ๆ หรือครับ แม่""จริงสิจ๊ะนี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหารทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีกจึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด""ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับแต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ""ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ไอ้น้องชายเราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ""ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ ""แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับคือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้องได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครองคุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่าเรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโดเพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อน ๆของน้องนะครับผมถึงทราบ ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง""จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ""หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า"น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความแล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย""เรียงความเขียนว่า

…หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหามรุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…""ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคมพวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำอร่อยมาก

…สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียวคุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีกแล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีกเสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไปพยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด…""ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วยแล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน…ขอให้มีความสุขครับ

…ขอบคุณครับ…"สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆก็หายตัวไปพวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้างพยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ"พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า"วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ ""จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรหล่ะ""ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีผมจึงพูดว่า

…ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดีน้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวันดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะอยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้านเมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร""เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชามผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อสักครู่นี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริงๆ ""หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกินกันสามคนนั้นผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยันและดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปีจ่ายเงินไปสามร้อยเยนกล่าวขอบคุณค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไปมองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆพร้อมกับกล่าวว่า "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่งพอถึงเวลา21.00น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย"โต๊ะจอง"ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอยการมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคยแต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลยปีที่สอง ปีที่สามโต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิมสามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลยกิจการของร้านฮอกไกดีมากเรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียวภายในร้านมีการตกแต่งใหม่โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม"นี่มันเรื่องอะไรกัน"ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขาเถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟังโต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่งและก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีกพวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขาโต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า "โต๊ะแห่งความสุข"ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไปมีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากินบะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลาย ๆ ปีพอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว

เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้านฮอกไกก็มักจะมารวมตัวฉลองโดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไกกินไปพลางก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลางแล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกันเป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้วในวันนี้พอเลย 21.30น.ไปแล้วเจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วยต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ เป็นระยะ บ้างก็เอาเหล้ามาบ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมาปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คนต่างก็คึกคักกันมากทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สองทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่าวันนี้"โต๊ะจอง"ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่งมันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิมพวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้า ๆออก ๆพอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไปพูดเรื่องการค้าบ้างคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลงในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุก ๆ เรื่องจนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกันเวลาผ่านไปจนถึง 22.30น.ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกันสายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้านชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากลพาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขนพอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลงและเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคักในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า"ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ"เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้นก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคนทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า"เอ้อ…รบกวน

…รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ"ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีเวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้วภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำกับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้าเธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกันเถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก "พวกคุณ .. พวกคุณ"เขาพูดได้เพียงแค่นั้นคำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับเถ้าแก่เนี้ยว่า"พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มาสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับและพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้นพวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้""หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้วตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโตปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว""วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัวแล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อและน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้นขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโตได้เสนอความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่าพวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโรและทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"สองตายายฟังไปพลาง

พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้าเถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตูพยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอแล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า "อ้าว…เถ้าแก่… เป็นอะไรไปหล่ะอุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้"โต๊ะจอง"ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไงรีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า"ยินดีต้อนรับค่ะ…เชิญนั่งข้างในค่ะ…นี่ตาเฒ่า…บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง"เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า"ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม"หากดูกันตามจริงแล้วสิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลยมันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อนคำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำรวมทั้งคำอวยพรว่า "ขอบคุณค่ะ(ครับ)สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"ก็เท่านั้นเองแต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์คับขับได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้งนิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า

---อย่าพยายามมองข้ามตัวเองตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจความห่วงใยอันจริงใจของคุณเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่างไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้ด้วยเหตุนี้ความหวังความใฝ่ฝันที่แรงกล้าของพวกเรา …เพื่อนพ้องทั้งหลาย …อย่ามัวเห็นแก่ตัวกันหรือเสียดายมันอยู่เลยหวังว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไปพวกเราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตาที่เราอัดเก็บไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนานนั้นมอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจจุดประกายแห่งความสว่างแก่โลก

….ถึงแม้จะเป็นแสงเพียงริบหรี่เท่านั้นแต่สำหรับคืนอันหนาวเหน็บอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาวมันเป็นประกายแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างอันสุกสกาวจริงๆไงจ๊ะ

…อ่านบทความนี้จบแล้วรู้สึกเมื่อยตาบ้างหรือเปล่าบริหารสายตาหน่อยกรอกตาซ้ายไปมา เสร็จแล้วก็หันมากรอกตาขวาหลังจากนั้นก็กรอกตาทั้งสองข้างพร้อม ๆ กันหากทำแล้วลูกตากระเด็นออกมานอกเบ้าแล้วล่ะก้อไม่ต้องมาหาฉันนะจ๊ะไปหาหมอเถอะ

…เรื่องนี้ตอนที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่นทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจมานับไม่ถ้วนแล้วดังนั้นจึงมีคนพูดกันว่า"ใครที่อ่านนิทานเรื่องแล้วไม่มีใครเลยที่จะไม่หลั่งน้ำตาให้"ถึงแม้คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปบ้างแต่ก็มีคนจำนวนมากที่ได้อ่านนิทานเรื่องนี้แล้วรู้สึกประทับใจจริง ๆจนน้ำตาร่วง และน้ำตาที่ร่วงรินเหล่านั้นมันไม่ใช่น้ำตาจากความรันทดใจแต่เป็นน้ำตาที่หลั่งให้แก่ความประทับใจต่อความห่วงใยอย่างจริงใจและน้ำใจไมตรีอันกว้างขวางที่มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

กล่องข้าวที่หายไป...

ผมนำ “กล่องข้าว” ไปกินที่โรงเรียนครั้งแรกตอน ม.1 เหตุผลสำคัญจริงๆ ก็คือทำตามเพื่อนในชั้นเรียนนั้นมีเพื่อนนำอาหารมากินตอนพักเที่ยงกันกว่าครึ่งห้อง ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง มีทั้งที่ใส่ปิ่นโต ใส่กล่อง และบางคนใส่ห่อมาก็มีเมื่อถึงเวลาพักก็เอามาแลกเปลี่ยนแบ่งปันกันกิน ถามเพื่อนว่าทำไมเอาข้าวมากิน ส่วนใหญ่บอกว่าซื้อกินเองแพง ไม่มีเงินพอบางคนบอกว่าอาหารที่โรงอาหารไม่อร่อย กินของแม่อร่อยกว่า เลยนำอาหารที่บ้านมาเอง และบางคนเห็นเพื่อนกินข้าวกล่องกันเยอะๆดูแล้วสนุกดี แถมบางคนก็เป็นเพื่อนสนิท ไม่อยากจะแยกกัน ก็เลยเอามากินเป็นเพื่อนด้วยผมเป็นหนึ่งในกลุ่มหลังนี้ที่บ้านมีปิ่นโตอยู่แล้ว แต่ผมไม่สะดวกกับการหิ้วปิ่นโต เพราะบ้านอยู่ต่างอำเภอขณะที่โรงเรียนอยู่ในตัวจังหวัด ถ้าต้องหิ้วปิ่นโต และโหนรถสองแถวด้วยคงลำบากแม่จึงซื้อกล่องข้าวอันใหม่ให้จำได้ว่าเป็นกล่องสีฟ้า ข้างในนอกจากมีพื้นที่ใส่ข้าวแล้วยังแบ่งเป็นช่องเล็กๆ ใส่อาหารได้ถึง 3 ช่องสำหรับบางคน

การห่อข้าวเป็นความสะดวกและเรียบง่ายแต่กับผมไม่ใช่เพราะที่บ้านปกติ จะซื้ออาหารสำเร็จมาทานเนื่องจากแม่ผมไม่ค่อยแข็งแรง ไม่สบายด้วยโรคมากมายรุมเร้า ทั้งโรคหัวใจ โรคความดัน โรคอ้วนและไขมันในเส้นเลือดสูงแต่ผมไม่อยากจะซื้อแกงถุงสำเร็จรูปเพราะธรรมเนียมของการกินข้าวกล่องที่โรงเรียนคือต้องเป็นอาหารที่ทำมาจากบ้าน มีการชื่นชมและอวดฝีมือของแม่ๆกัน ถ้าซื้อแกงไปก็เสียฟอร์มเมื่อผมบอกแม่ว่าอยากได้อาหารที่แม่ทำเองไปอวดให้เพื่อนเห็นฝีมือบ้าง ท่านก็ยิ้มรับคำจากนั้นทุกเช้าแม่จะต้องฝืนสังขารลุกขึ้นมาหุงข้าวเตรียมอาหารให้ปัญหาต่อมาคือ ตอนเด็กๆ ผมไม่กินผัก และไม่กินพวกไข่ต้ม ไข่เจียว แม่จึงต้องทอดไก่ ทอดเนื้อหรือทำแกงต่างๆ ให้ ซื่งต้องใช้เวลาและขั้นตอนต่างๆ นานพอสมควร แต่กระนั้นทุกเช้า “กล่องข้าวสีฟ้า” ของผม ก็ถูกเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยเสมอแต่แล้วกินข้าวกล่องอยู่ได้ไม่นานนักผลก็ล้มเลิกโครงการนี้เพราะรู้สึกอึดอัดกับคำถามและสายตาของคนรอบข้างเพราะเริ่มเป็นวัยรุ่น จึงอายที่จะถูกมองว่าเป็นเด็กที่ห่อข้าวมากินเพราะความยากจนเมื่อกลับมาบอกยอกเลิกที่บ้าน โดยบอกเหตุผลว่าอายเพื่อนนั้น แทนที่แม่จะโล่งใจเพราะไม่ต้องเหนี่อยอีก ท่านกลับอึ้งไปครู่หนึ่งแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา และจากวันนั้นมา ผมก็ไม่สนใจอีกว่าแม่จะเก็บกล่องข้าวสีฟ้าไว้ที่ไหน

...แม่ตายตอนผมเรียน ม.6 ไม่ทันอยู่จนเห็นผมเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยทำงานและมีครอบครัว ตามที่ท่านอยากจะเห็น เราย้ายบ้านอีกหลายครั้ง ทั้งข้าวของและคนในครอบครัวเริ่มกระจัดกระจายพลัดพรากกันไปไม่ใช่แต่เพียงกล่องข้าวใบนั้นหรอกที่หายไป ความทรงจำหลายอย่างก็สลายสูญ ขณะที่ชีวิตของผมก็ต้องดำเนินต่อไป

...สองสามเดือนมานี้ ผมเริ่มทดลองที่นำอาหารจากบ้านใส่กล่องไปทานทำงานตอนพักเที่ยงแล้วก็ได้พบว่า นอกจากจะได้ทานอาหารแนวสุขภาพที่เราควบคุมได้เต็มที่เพราะทำเองแล้วยังสามารถช่วยประหยัดเงินได้มาก ซึ่งภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ค่อนข้างมีความจำเป็นน่าแปลกที่การนำข้าวกล่องมากินครั้งนี้ผมไม่อายสายตาคนรอบข้างอีก หลังผ่านวันเวลาของชีวิต ผมเรียนรู้ว่า ถ้ากระทำในสิ่งที่มีเหตุผมพอก็ไม่ต้องเกรงว่าใครจะหมิ่นหยามความหวั่นไหวมักจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเริ่มดูถูกตัวเองต่างหากเช้าวันนี้ ผมมองดูภรรยาจัดเตรียมอาหารใส่กล่อง แค่ผัดผักบุ้งไฟแดงและปลาทูนึ่งสองตัวก็คงพออิ่มสำหรับมื้อเที่ยงร่างเล็กๆนั้นเคลื่อนไหวไปทั่วทั้งบริเวณครัวอย่างกระฉับกระเฉง ทั้งๆที่เธอเองก็เพิ่งฟื้นไข้มาไม่นานนักผมพลันหวนนึกถึงแม่ วูบขึ้นมาเห็นภาพหญิงอ้วนวัยกลางคน ซ้อนทับอยู่กับภาพหญิงสาวร่างเล็กเบื้องหน้า แล้วน้ำใสในดวงตาผมก็ท้นเอ่อออกมา

...มองกล่องข้าวสีขาวเบื้องหน้า ผมพลันรู้ตัวขึ้นมาทันทีว่า “กล่องข้าวสีฟ้า” ที่เคยคิดว่ามันหายไปแล้วนั้น แท้จริงมันไม่ได้หายไหนเลยเพียงแต่ผมค้นหามันพบช้าไปหน่อยเท่านั้นเอง....

ชีวิตพอเพียงของมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก Warren Buffet วอร์เรน บัพเฟตต์

แปลโดย Wilai Trakulsin
มีรายการสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของสถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์ วอร์เรน บัพเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก ( รองจากบิล เกตส์) ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศล 31,000 ล้านดอลล่าร์ต่อไปนี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา:
1. เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป!
2. เขาซื้อไร่เล็กๆ เมื่ออายุ 14 โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์
3. เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอมาฮา ที่ซื้อไว้หลังแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้ บ้านเขาไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม
4. เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน
5. เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก
6. บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัท เขาเขียนจดหมายถึงซีอีโอของบริษัทเหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียว เพื่อให้เป้าหมายประจำปี เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับซีอีโอเหล่านี้เป็นประจำ
7. เขาให้กฎแก่ ซีอีโอ เพียงสองข้อกฎข้อ 1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหายกฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ 1
8. เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ การพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน คือทำข้าวโพดคั่วกินและดูโทรทัศน์
9. บิล เกตส์ คนที่รวยที่สุดในโลก เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน บิล เกตส์คิดว่าตนเองไม่มีอะไรเหมือนวอร์เรน บัพเฟตต์เลย จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อบิล เกดส์ได้พบบัฟเฟตต์จริงๆ ปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง และบิล เกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน บัพเฟตต์
10. วอร์เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน
11. เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า: จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตและลงทุนในตัวคุณเอง

ที่สุดของชีวิต คือ มีปัจจัย ๔ อย่างเพียงพอนั่นเอง
๑. มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม 1 มื้อ เท่ากัน
๒. มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุด เท่ากัน
๓. มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน พื้นที่ที่ใช้จริงๆ ก็เหมือนกันคือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว เหมือนกัน
๔. มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหน ยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไร สุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกันมองทะลุวัตถุนิยม และเห็นความหมายที่แท้จริงของชีวิต

“เมื่อฉันแก่ตัวลง”

อยากจะมอบเรื่องนี้ให้กับผู้ที่ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของลุกผู้ชายคนหนึ่งที่ตระเวนทั้งเรียนทั้งทำงานไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแม้เขาจะเติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้นโลกใบนี้เริ่มเล็กลง แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิม(ในเมืองจีน)ก็เริ่มแก่ตัวลงลูกคนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมายโชคดีต่อมามีไอพีการ์ด เลยได้คุยสดกันบ้างทุกครั้งแม่ก็จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเองตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆเพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง... ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆเขารู้ดีว่าแม่เริ่มคิดถึงเขามากจนกระทั่งปีนี้แม่อายุ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่โดยตั้งใจว่าจะอยู่สัก 1 เดือน จะไม่ทำอะไรเป็นพิเศษแต่ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียวพอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบแม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูกแม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียมแม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ ดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่...สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยพอกลับถึงบ้านตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้งแต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้งหน้าตาเหี่ยวย่น ช่างไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย...แม่ใช้เวลาทั้งชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบโดยที่หาทราบไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้วและเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆบางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย แม่หารู้ไม่ว่าเดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้วแต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริงๆสองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะจนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมากสอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น10กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่าปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม“เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆผมพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง โดยเฉพาะสายตา อาหารบางจานมีแมลงวันด้วยบางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิมครั้นผมพยายามชวนแม่ไปกินนอกบ้าน แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาดของแปลกปลอมเยอะ เมื่อผมบอกแม่ว่าจะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคนแม่ก็โวยวายว่า แม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้ผู้อื่นได้เลยผมเลยพูดไม่ออก พอผมจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วยทำเอาวันนั้นทั้งวัน พวกเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย...”“พอพวกเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัยแม่ก็จะหาว่าพวกเราเพี้ยน ผมก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่าแม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆบ้าง...ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆและรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่เราไม่เคยทะเลาะกันนะพอผมขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จาในตามีแววเหม่อลอย – โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ”“ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับแม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมา ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอกแม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศเมื่อผมเดินทางไปนอกทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้นๆแม่จะตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้ผมตอนที่ผมกลับมาแม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่นอกบ้านนอกเมืองต้องระวังตัวให้มากๆ ครั้งหนึ่งมีเรื่องคนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีนมีการปะทะกันด้วย แม่เป็นห่วงมาก ถามเพื่อนบ้านว่าจะส่งข่าวไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไรตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น”แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบากวางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่งมันหนักมาก ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะผมไม่อยากนำกลับไปมันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบากแม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย อ่านได้วันละ2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้ทันใดนั้นมีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมาแม่รีบเอื้อมไปหยิบ แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิมแม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเองผมรู้สึกเอะใจเลยถามว่า “แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ”แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้นแล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันทีผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดูมันเป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า “เมื่อฉันแก่ตัวลง”ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม2004 เป็นช่วงที่ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกทีบทความนั้นคัดมาจากนิตยสารฉบับหนึ่งของเม็กซิโกฉบับเดือนพฤศจิกายน ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที....เมื่อฉันแก่ตัวลงไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิดตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเองตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า ขอให้คิดถึงตอนแรกๆที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่างตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆที่เธอรู้สึกเบื่อขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน ตอนเธอยังเล็กๆฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ จนเธอหลับเลยตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลยนะยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ ฉันต้องทั้งออดทั้งปลอบเพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหมตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆอย่าหัวเราะเยาะฉัน จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม“ทำไม ทำไม”ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหมตอนฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหวขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉันเหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆหากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่ให้เวลาฉันคิดสักนิด ที่จริงสำหรับฉันแล้วกำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉันฉันก็พอใจแล้วตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลงไม่ต้องเสียใจ ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉันให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิตตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทางให้ความรักและอดทนต่อฉันฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจในรอยยิ้มของฉันมีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉันที่มีให้กับเธอผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบเกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ (ใจแข็งจริงไอ้หมอนี่) ตอนนั้น แม่เดินออกมา ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นตอนแรกแม่คงอยากให้ผมได้อ่านบทความนี้หลังจากผมกลับไปแล้วจึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไปตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป1 ตัว จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้าไปได้รู้สึกแม่จะดีใจมาก เหมือนกับว่าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภสำหรับผมและเหมือนกับว่าการที่ผมยอมรับหนังสือพิมพ์เหล่านั้นผมได้กลับมาเป็นเด็กดีของแม่อีกครั้งหนึ่งแม่ตามมาส่งผมจนถึงรถแท็กซี่เลยที่เดียวหนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมาเหล่านั้นไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่บทความ“เมื่อฉันแก่ตัวลง” บทนั้น ผมได้ตัดเก็บไว้ในกรอบเอาไว้ข้างตัวฉันตลอดไป

อ่านสบายๆ

1. ชายตาบอดกับหมาคู่ใจ

มีชายตาบอดคนหนึ่งเดินไปตามถนนโดยมีสุนัขคู่ใจนำทาง พอถึงสี่แยกที่มีรถพลุกพล่าน สุนัขเจ้ากรรมกลับเดินดุ่ยๆไปในถนนที่มีรถวิ่งขวักไขว่ ชายตาบอดไม่รู้เรื่อง ก็เดินตามไป ปรากฏว่า ผู้ขับขี่รถยนต์ต้องเหยียบเบรคกันเอี๊ยดอ๊าด แถมบีบแตรกันดังสนั่นกันไปทั่วทั้งถนน จนแสบแก้วหู เดชะบุญ ที่คนตาบอดและสุนัขคู่ใจก็สามารถเดินข้ามถนนไปได้อย่างปลอดภัย หลังจากยืนสูดหายใจอยู่พักใหญ่ ชายตาบอดก็เอามือล้วงหยิบขนมปังแผ่นโตออกมาจากกระเป๋า และยื่นให้สุนัขคู่ใจ ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ ก็เกิดความสงสัย จึงเดินตรงรี่เข้าไปถามชายตาบอดว่า ผู้ที่เห็นเหตุการณ์: “นี่ท่านยังจะให้รางวัลเจ้าสุนัขตัวนี้อีกรึ มันเกือบจะทำให้ท่านต้องบาดเจ็บนะ” ชายตาบอดทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วตอบว่า: “ผมเพียงแต่อยากจะรู้ว่า หัวมันอยู่ตรงไหน จะได้ตบหัวมันได้ถูก” ผู้ที่เห็นเหตุการณ์: ?

2. เคยตัว

เด็กน้อยลูกมหาเศรษฐีระดับโลก คนหนึ่งใช้ชีวิตเติบโตท่ามกลางกลุ่มบอร์ดี้การ์ด กับคำพร่ำสอนของพ่อที่ว่า ไปไหนก็ต้องมีคนอารักขา มิฉะนั้นเจ้าจะมีชะตาชีวิตดั่งเช่นเด็กรวยๆที่ถูกจับไปเรียกค่าไถ่ทั้งหลาย ว่าแล้วก็เปิด V.D.O. ให้ลูกดูทุกเช้าเย็นเกี่ยวกับการจับเด็กไปเรียกค่าไถ่ ใกล้เทศกาลคริสมาสในปีหนึ่ง เด็กรวยรายนี้ก็อยากจะได้จักรยานจากเซนตาคลอส จึงลงมือเขียน จ.ม. ถึงลุงแซนต้าทันที มีใจความว่า “ถึงลุงแซนต้า ผมอยากได้..” เขาเขียนได้แค่นี้ ก็ฉีกจดหมายทิ้ง แล้วเขียนใหม่ว่า “ถึงไอ้หนูแซนตาคลอส ข้าอยากได้ ..” แล้วเขาก็ฉีกทิ้งอีกเพราะยังไม่ถูกใจ หลังจากที่คิดสักพัก เด็กน้อยก็เอาตุ๊กตากวางแรนเดียร์ ออกมา เอากรรไกรตัดหูข้างหนึ่งใส่ในซอง จ.ม. แล้วเขียนว่า “ถึงไอ้หนูแซนต้า ถ้าแกอยากจะเห็นกวางของแกอีกหล่ะก็..เอาจักรยานมาให้ข้าซะดีๆ” ฮ่ะๆๆๆ

3. มือถือนี้ของใคร?

วันนึงผมไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสเซ็นเตอร์ใกล้ที่ทำงาน ขณะที่อยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ผมหันไปมอง เห็นชายคนนึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นรับสาย และนี่คือบทสนทนาของเขา "ฮัลโหล” "หวัดดีค่ะที่รัก ยังอยู่ที่ฟิตเนสเหรอคะ” “ใช่จ้ะ” “ดีจัง ดาวก็ยังอยู่ที่เซ็นทรัลเลยค่ะ เจอเสื้อตัวนึงซ้วยสวย ดาวอยากได้จัง ขอซื้อนะคะ” “แล้วราคาเท่าไหร่ล่ะจ๊ะ” “สองหมื่นกว่าเองค่ะ” “ก็เอาสิ ถ้าคุณชอบนะ” “แล้วชั้นล่างเค้าเอาบีเอ็มรุ่นใหม่มาโชว์ สวยมากเลยค่ะ ดาวคุยกับเซลส์แล้ว เค้าบอกถ้าจองวันนี้เค้าจะให้ราคาลดพิเศษสุดเลย…” “เขาให้ราคาเท่าไหร่ล่ะ” “สี่ล้านสองเอง” “โอเค แต่บอกเขาว่าราคานี้ต้องฟูลออปชั่นนะ” “ดีใจจังเลย แต่ยังมีอีกอย่างค่ะ…” “อะไรล่ะ” “คุณอย่าหาว่าดาวยุ่งไม่เข้าท่าเลยนะคะ เมื่อเช้าดาวขับรถผ่านบ้านที่เราเคยไปดูกันเมื่อสองเดือนที่แล้ว ตอนนี้เขากำลังมีโปรโมชั่น ลดราคาลงมาตั้งเยอะแน่ะค่ะ…” “เท่าไหร่ล่ะ” “ยี่สิบห้าล้านถ้วน แถม…” “เงินไม่ใช่น้อยเลยนะนั่น” “แหมที่รักคะ ราคาเต็มเข้าตั้งสามสิบล้านเชียวนะคะ” “ผมขอคิดดูหน่อยนะ” “ที่รักคะ วันนี้โปรโมชั่นวันสุดท้ายแล้ว และสำนักงานขายเค้าก็กำลังจะปิดแล้วด้วย ตอนนี้เซลส์เขารอให้ดาวเขียนเช็คเงินมัดจำให้อยู่น่ะค่ะ” “ก็แล้วแต่คุณละกัน” “โอเคนะคะที่รัก วันนี้คุณน่ารักจังขอบคุณค่ะ บ๊ายบาย” เขาวางโทรศัพท์ไว้บนม้านั่งเหมือนเดิมแล้วถาม “ใครรู้บ้างครับว่าโทรศัพท์มือถือนี่ของใคร!!?”

"พ่อครับ ผมขอโทษ . . . "

หลังวาเลนไทน์ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เหมือนคนทั่วไป“กุหลาบ ช็อคโกแลต คำบอกรัก"สามสิ่งนี้ต้องเวียนเข้ามาหาชีวิตผมเพื่อให้คนคนหนึ่งใน ทุก ๆ ปีของวันนี้

. . ก่อนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ผมเดินออกจากบ้านในมือมีผ้าเช็ดหน้าสีชมพูที่ต้องการเอาให้แฟนของผมเธอเป็นหญิงสวยมาก เป็นดาวคณะของมหาลัยของเราก่อนผมจะออกไปพบเธอ เธอโทรมาหาผมผมจึงวางผ้าเช็ดหน้าที่ผมบรรจงพับไว้บนโต๊ะหลังจากการพร่ำบอกรักกันด้วยถ้อยคำหวานหูเป็นเวลานานทีเดียวผมปรี่ออกจากบ้านไปหาเธอโดยไม่ลืมผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นแต่แล้ว!!ผมก็เห็นพ่อของผมถือมันออกมา ในผ้าผืนนั้นมีรอยเลือด"พ่อ ทำอะไรหนะ" ผมโพล่งถามด้วยความโมโหพ่อหน้าซีดทันที"ไอ้เหมียวหนะ มันโดนกัด พ่อเลยเอาผ้าไปเช็ดเลือด""พ่อรู้ไหม ผมกำลังจะเอาไปให้แฟน"พ่อเงียบ

. . . ผมเกลียดจริงๆ เวลาพ่อเงียบเมื่อจนกับปัญหาความโหโหสั่งผมให้ทำได้แม้กระทั่งจะตบหน้าพ่อพ่อเบือนหน้า"พ่อขอโทษ มานี่

. . . " พ่อยื่นมือมารับผ้าเช็ดหน้า"พ่อจะเอาไปซักให้เอง"ผมงอนพ่อถึงกับไม่ยอมคุยกับพ่อเป็นเวลานานพอควรไม่ยอมลงจากบ้านเป็นเวลาเกือบทั้งสองวันที่ผมไม่เจอหน้าใครหมกตัวอยู่กับห้อง มีเพียงแม่เท่านั้นที่คอยส่งข้าวให้ผมยามเมื่อผมมองตาแม่ครั้งใดทุกครั้ง ดวงตาแม่จะแดงปรี่ด้วยน้ำตาผมเริ่มรู้สึกว่า บางทีผมอาจจะทำเกินไป

. . . 14 กุมภาพันธ์ตั้งแต่ครั้งที่ผมเห็นแม่เสียใจผมก็รู้สึกว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าผมยอมออกมาจากห้องผมไม่เห็นพ่อเดินออกมาที่บริเวณลานซักผ้า กาละมังยังมีผ้าที่ยังไม่ซักหลายผืนข้างๆ มีกองเลือดอยู่ และที่ราวตากผ้ามี ผ้าเช็ดหน้าของผมถึงจะล้างรอยเลือดไม่หมด ก็ยังดีที่พ่อยังห่วงใยผม ยังแคร์ผมอยู่"พ่อ ผมอยากขอโทษครับ"พอผมหันหน้าจะกลับเข้าบ้าน ก็พบกับแม่ แม่ร้องไห้มาแต่ไกลแม่วิ่งมากอดผม "พ่อเสียแล้วนะ"ผมอึ้ง!!แม่ลำดับเหตุการณ์ และทำให้ผมทราบว่าพ่อป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจติดเชื้อรอยเลือดที่เห็นนั้นคือเลือดที่พ่อจามออกมา พ่อมองไม่เห็น"พ่อกำชับแม่มาตอนที่ลูกโกรธว่า อย่าบอกลูกเด็ดขาดว่าพ่อป่วย ""ทำไมล่ะครับ""พ่อกลัวเราจะเสียใจ แล้วไม่ได้ออกไปเที่ยวกับแฟน"ผมอึ้งเป็นครั้งที่สอง!"พ่อบอกแม่ด้วยว่า ถ้าพ่อเสียวันนี้ อย่าเพิ่งบอกลูกให้ลูกไปเที่ยวกับแฟนก่อนพ่อไม่อยากให้ลูกเป็นทุกข์ พลาดโอกาสอย่างนี้เพราะพ่อคนเดียวพ่อบอกด้วยว่าพ่อซักผ้าเช็ดหน้าให้แล้ว มันไม่สะอาดหรอกแต่พ่อบอกว่าพ่อของลูกทำดีที่สุดแล้ว"ผมกอดแม่ ร้องไห้วันนี้จะเป็นวันวาเลนไทน์ที่อยู่ในความทรงจำตลอดไป"พ่อครับ ผมขอโทษ . . . "

บทเรียนที่มีค่า

1 . บทเรียนสำคัญบทแรก - คนทำความสะอาดเมื่อครั้งที่ฉันเข้าเรียนในวิทยาลัยได้สองเดือน อาจารย์ให้พวกเราทำแบบทดสอบอันหนึ่ง ฉันเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียน จึงตอบคำถามได้อย่างสบาย จนมาถึงคำถามสุดท้าย"สุภาพสตรีที่เป็นคนทำความสะอาดโรงเรียนชื่อว่าอะไร?"ต้องเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างแน่ ฉันเคยเจอคนทำความสะอาดหลายครั้ง เธอเป็นคนตัวสูงผมดำ และอายุกว่า 50แต่ฉันจะรู้ชื่อเธอได้อย่างไร?ฉันส่งกระดาษคำตอบ โดยไม่ได้ตอบข้อสุดท้าย ก่อนหมดคาบเรียน นักศึกษาคนหนึ่งถามว่าคำถามข้อสุดท้ายจะถูกคิดรวมในคะแนนของผลการเรียนด้วยหรือไม่"แน่นอน" อาจารย์ตอบ "เมื่อเธอเข้าทำงาน เธอจะต้องพบกับคนมากมาย ซึ่งทุกคนมีความสำคัญพอที่สมควรจะได้รับความสนใจและเอาใจใส่แม้ว่าพวกเธอจะทำได้แค่เพียงยิ้มให้และกล่าวสวัสดีก็ตาม"ฉันไม่เคยลืมบทเรียนนั้นเลย และได้รู้ว่าชื่อของสตรีคนนั้นคือ โดโรธี

2. บทเรียนสำคัญที่สอง - รับคนกลางฝนคืนหนึ่ง เวลา 23:30 น. สตรีสูงอายุเชื้อสายแอฟริกันคนหนึ่ง ยืนอยู่ริมทางหลวง สายอลาบามา พยายามต้านฝนที่ตกหนักอยู่ รถของเธอเสีย และเธอต้องการเดินทางต่อไปอย่างมาก แม้จะเปียกโชกเธอตัดสินใจโบกรถคันที่วิ่ง ผ่านมา ชายหนุ่มผิวขาวผู้หนึ่งหยุดรถเพื่อช่วยเหลือเธอ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในยุคที่มีความขัดแย้ง เรื่องการเหยียดผิวอย่างทศวรรษที่ 60 ชายหนุ่มช่วยเหลือให้เธอได้รับความปลอดภัยและส่งเธอขึ้นรถแท๊กซี่ แม้ว่าเธอจะเร่งรีบมาก แต่ก็ขอบคุณเขาและจดที่อยู่ของเขาไปด้วยเจ็ดวันหลังจากนั้น ก็มีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านของเขา ด้วยความประหลาดใจ โทรทัศน์สีจอยักษ์เครื่องหนึ่งถูกนำมาส่งยังบ้านของเขาและมีข้อความแนบมา ด้วย ใจความว่า:"ขอบพระคุณมากสำหรับความช่วยเหลือบนทางหลวงในคืนนั้น ฝนไม่ได้ชะแต่เพียงเสื้อผ้าของฉันเท่านั้น แต่ชะเอากำลังใจของฉันไปด้วย แต่เมื่อคุณผ่านมา เป็นเพราะคุณ ฉันจึงสามารถไปทันดูใจสามีที่กำลังจะเสียชีวิต ทันเวลาก่อนที่เขาจะสิ้นลมพอดี ขอพระเจ้าอวยพรคุณ สำหรับการช่วยฉัน และการช่วยเหลือผู้อื่น อย่างไม่เห็นแก่ตัวของคุณ" ด้วยความจริงใจ นาง แนท คิง โคล

3. บทเรียนสำคัญที่สาม – ระลึกถึงคนที่ให้บริการเสมอในสมัยที่ไอศครีมซันเดยังมีราคาถูกอยู่มาก เด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งเข้าไปในคอฟฟี่ชอปของโรงแรมแห่งหนึ่งแล้วนั่งที่ โต๊ะ เมื่อพนักงานเสริฟวางแก้วน้ำลงตรงหน้า เด็กชายก็ถามว่า"ไอศครีมซันเดราคาเท่าใหร่ครับ?" "ห้าสิบเซ็นต์" พนักงานเสริฟสาวตอบแล้วเด็กชายก็ดึงมือออกจากกระเป๋า แล้วก็นับเ หรียญในมือ "งั้น ไอศครีมเปล่า ๆ ล่ะครับราคาเท่าใหร่?" เด็กชายถามอีกตอนนี้เริ่มมีคนรอโต๊ะมากขึ้นและพนักงานเสริฟสาวก็เริ่มจะหมดความอดทน "สามสิบห้าเซ็นต์" เธอตอบห้วนๆเด็กชายนับเหรียญในมืออีกครั้ง "ผมขอไอศครีมเปล่าครับ" เด็กชายบอก แล้วพนักงานเสริฟสาวก็เอา ไอศครีมมาให้ เอาใบเสร็จมาให้แล้วก็เดินหนีไปเด็กชายทานไอศครีมหมดแล้ว ก็จ่ายเงินแล้วก็จากไปเมื่อพนักงานเสริฟเดินกลับมา เธอก็เริ่มร้องไห้เมื่อเธอเช็ดโต๊ะบนโต๊ะนั้นมีเหรียญนิกเกิลราคาห้าเซ็นต์สองเหรียญและเหรียญเพนนีอีกห้าเหรียญวางอยู่ อย่างบรรจง ข้างจานเปล่านั้น เห็นไหมว่า เด็กชายไม่ทานไอศครีมซันเด เพราะเขาต้องเหลือเงินไว้ทิปพนักงานเสริฟสาวคนนั้น

4. บทเรียนสำคัญที่สี่ – สิ่งที่กีดขวางทางของเราในยุคโบราณ มีหินผาตกลงมาขวางถนนเส้นหนึ่ง เมื่อพระราชามาพบเข้าจึงซ่อนพระองค์อยู่เพื่อคอยดูว่าจะมีใครมาเอาหินใหญ่ก้อนนั้นออกไปจากทาง เมื่อเสนาบดีในราชสำนักของพระองค์และพ่อค้าผู้ร่ำรวยผ่านมา ก็เพียงแต่อ้อมหินผาก้อนใหญ่นั้นไปพวกเขากล่าวตำหนิพระราชาต่างๆนานา ที่พระองค์ไม่ใส่พระทัยที่จะดูแลทางนั้นให้ดี แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรที่จะเอาหินนั้นออกไปให้พ้นทาง จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งแบกผักกองใหญ่ผ่านมาเมื่อเขาเดินมาถึงหินผานั้น เขาก็วางสัมภาระลง แล้วพยายามที่จะขยับก้อนหินนั้นให้พ้นทาง หลังจากทั้งผลักทั้งดึงหินก้อนนั้น ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จเมื่อเขาหยิบสัมภาระของเขาขึ้นมา เขาก็เห็นถุงเงินวางอยู่ตรงจุดที่ก้อนหินผาเคยอยู่ ในถุงนั้นมีเหรียญทองและจดหมายจากพระราชา เขียนไว้ว่าทองในถุงนั้นเป็นของผู้ที่เอาหินผาออกไปจากถนน ชาวบ้านคนนั้นได้รู้สิ่งที่เราไม่เคยได้รู้ ทุกๆอุปสรรคที่กีดขวางทางนั้น จะมอบโอกาสที่เราจะดีขึ้นให้กับเรา

5. บทเรียนสำคัญที่ห้า – ให้เมื่อมีค่าหลายปีมาแล้วเมื่อฉันไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ฉันได้รู้จักกับเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ ลิซ ซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายที่มีน้อยคนที่จะเป็นโอกาสที่เธอจะหายจากโรคนี้ได้คือ ต้องทำการถ่ายเลือดจากน้องชายอายุห้าขวบของเธอผู้ซึ่งรอดจากโรคร้ายนี้ได้อย่างปาฏิหาริย์ จึงทำให้เขาร่างกายเขาสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายนี้ขึ้นมา หมออธิบายสถานการณ์ให้น้องชายของเธอฟัง และถามเด็กชายว่า เขาต้องการจะให้เลือดของเขาแก่พี่สาวหรือไม่ ฉันเห็นเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า"ได้ครับ หากมันช่วยพี่สาวผมได้" เมื่อทำการถ่ายเลือด เขานอนยิ้มอยู่ที่เตียงข้างๆพี่สาว ในขณะที่เราเริ่มจะเห็นสีสันคืนสู้แก้มของเธอ หน้าของเด็กชายก็เริ่มซีดและรอยยิ้มก็จางหายไป เด็กชายมองไปที่หมอและถามด้วยเสียงสั่นเครือ"ผมกำลังจะตายใช่ไหม?" ด้วยความเป็นเด็กเขาเข้าใจหมอผิดไป เด็กชายคิดว่าเขาต้องให้เลือดทั้งหมดของเขาให้แก่พี่สาวเพื่อช่วยชีวิตเธอ

นิทานของพ่อ

กาลหนึ่งนานมาแล้ว นานเท่าไหร่ไม่รู้ พ่อมักจะเริ่มต้นเรื่องอย่างนี้ทุกครั้งมีเจ้าหญิงอยู่องค์หนึ่ง เจ้าหญิงคนนี้เป็นคนขยัน ทำอาหารเก่ง ชอบทำงานบ้านเสมอ ๆเจ้าหญิงของพ่อมักจะเป็นคนที่ขยันเสมอ ๆ ...เจ้าหญิงได้พบกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในสวนดอกไม้ข้าง ๆ ปราสาทในขณะที่เจ้าหญิงกำลังเก็บดอกไม้ผมพิมพ์มาถึงตรงนี้ ก็ต้องกด Delete ลบข้อความนั้นทิ้งเสียหมดหลังจากที่ผมนั่งจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วมั้งแต่งานเขียนของผมก็ยังอยู่เหมือนเดิมไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่มีอะไรขยับเขยื้อนไปสักอย่างทั้ง ๆ ที่ผมจะต้องส่งต้นฉบับในวันพรุ่งนี้แล้วแย่จริง ๆ สมาธิหายไปไหนหมดนะบรรยากาศ ภาพความหลังในวัยเด็กหายไปไหนหมดนะ- - นี่ผมคิดผิดหรือเปล่าหนอ?

- -ที่รับงานเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับพ่อมาก็เพราะคำว่า พ่อ นี่แหละที่ทำให้ผมเขียนไม่ออกไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะพ่อไม่เคยอยู่ในความทรงจำของพ่อหรือเป็นฮีโร่เยี่ยงอย่างพ่อคนอื่น ๆ จนบางครั้งผมมีความรู้สึกราวกับว่าพ่อกับผมเป็นคนแปลกหน้าที่ต่างวัยและบังเอิญมาอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันพ่อยังเป็นคนทำลายครอบครัว ทำลายความรักที่แม่มีต่อพ่ออย่างหมดสิ้นจนแม่ทนไม่ไหวต้องหย่าร้างกันไปในที่สุด และพ่อยังจะทำลายความฝันของผมอีกผมอยากเรียนหนังสือ ผมชอบงานเขียนหนังสือผมบอกกับพ่อในวันที่พ่อบอกให้ผมเลิกเรียนหนังสือและออกมาช่วยกันทำงานที่โรงกลึงของตนเอง..แกจะเรียนไปทำไมนักหนา กิจการของพ่อก็มีแล้วไอ้ความฝันบ้า ๆ บอ ๆ ของแกอีกผมทิ้งมันไม่ได้ ผมทิ้งความฝันของผมไม่ได้หรอกพ่อ ผมเถียงแต่แกต้องทิ้งมัน แกต้องมาช่วยฉันทำงาน พ่อขึ้นเสียงตอบกลับมาพ่อ มันหมดสมัยที่พ่อจะบังคับลูกแล้วนะ“แต่ฉันจะบังคับแก” พ่อยืนคำขาดพรุ่งนี้แกต้องไปลาออกผมเกลียดพ่อ ผมเกลียดความคิดโง่ ๆ ของพ่อเกลียดการกระทำของพ่อที่วัน ๆ มัวแต่นั่งทำงานงก ๆ พ่อไม่เคยสนใจผมพ่อไม่เคยถามผมสักคำว่าผมต้องการอะไร เอ๊ะอะอะไรพ่อก็บังคับผม ผมเกลียดพ่อฝ่ามืออันหนักอึ่งของพ่อกระทบลงบนใบหน้าแก้มข้างขวาของผมอย่างจังแกออกไปแกออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้นะ แกไม่ใช่ลูกฉันดูแลตัวเองดี ๆ นะ ผมหันมาบอกน้องชายที่ยืนอยู่ห่าง ๆก่อนที่ผมจะก้าวเดินออกจากบ้านหลังนั้นมาด้วยความเครียดแค้นที่สุมรุมอยู่ในหัวนับจากวันนั้นมา ผมเลือกใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าหลังหนึ่งตามลำพังยังดีที่มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีเกือบหมื่น ซึ่งมันก็พอจะเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้บ้างแต่ผมก็ยังเฝ้าหางานทำอยู่หลายที่แต่มาตกอยู่กับการเป็นนักแสดงสมทบหรือที่ใคร ๆ เรียกกันติดปากว่า “ตัวประกอบ” เพื่อแลกกับเงินเพียงไม่กี่ร้อยแต่ผมก็ยังไม่ละทิ้งความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนหรอกผมเฝ้าฝึกฝีมืองานเขียนจนคิดว่าดีพอถึงได้ลองส่งไปลงยังนิตยสารฉบับหนึ่งจนในที่สุดก็ได้รับการตีพิมพ์ผมเริ่มมีความสุขกับการเขียนหนังสือมากขึ้นเมื่อความฝันของผมเป็นจริงหนังสือเล่มแรกในชีวิตของผมพิมพ์เสร็จเป็นรูปเล่มเรียบร้อยแล้วผมรับหนังสือจากพี่ใหม่มา เปิดออกดูทีละหน้า ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะมีโอกาสแบบนี้จริง ๆนี่มันสุดยอดความฝันของผมเลยครับพี่ ขอบคุณมากครับเอ้า!นี่หนังสือของนัทเก้าเล่ม พี่ให้นัทเอาไว้แจกเพื่อน ๆถ้าไม่พอยังไงก็เข้ามาเอาใหม่ล่ะกัน พี่ใหม่หยิบห่อกระดาษยื่นให้ผม และนี่เช็คเงินสดค่าเรื่องขอบคุณมากครับ พี่ใหม่ผมรับเช็คค่าความคิด ค่าน้ำหมึกของผมมาถือไว้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกแต่ที่แน่ ๆ มันเต็มเปี่ยมจนล้นไปด้วยความภาคภูมิมาถึงตอนนี้ผมมั่นใจได้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝันผมอยากให้พ่อรู้เหลือเกินว่าในที่สุดผมก็ทำความฝันของผมได้สำเร็จผมละภาพความหลังเก่า ๆละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยการไปเดินเล่นที่ท่าน้ำสายน้ำแห่งเจ้าพระยายังคงไหลเวียนไม่ขาดสายประกายแสงจากดวงอาทิตย์สะท้อนผืนน้ำระยิบระยับเรือลำน้อย เรือลำใหญ่แล่นว่ายอย่างเช่นเคยที่ตรงนี้ล่ะที่ทำให้ผมมีความสุข รู้สึกสบายอกสบายใจทุกครั้งและมักจะได้คำตอบหรือแนวพล็อตเรื่องอยู่เสมอ ๆวันนี้ผมก็หวังไว้เช่นนั้นเหมือนกันเสียงเรียกเครื่องเพจเจอร์ทำลายความเงียบนั้นลงพ่อถูกรถชน พี่รีบมาด่วนนะ ผมกดข้อความจากน้องชายอ่านซ้ำไปมาใจหนึ่งลังเลจะไปดีหรือไม่ดี แต่ขาน่ะสิรีบก้าวออกไปก่อนโดยไม่รอคำตอบทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ ผมถามน้องชายเมื่อไปถึงโรงพยาบาลก็พ่อน่ะสิ ทำหนังสือหล่นกลางถนน เลยหยุดเก็บ ก็เลยน้องชายพูดเสียงสั่นเครือแค่หนังสือเนี๊ยนะ เอามาแลกกับชีวิต พ่อนี่บ้าหรือเปล่าผมยังวายหยุดว่าพ่อถ้าไม่ใช่หนังสือของพี่ พ่อก็คงไม่เก็บหรอกคำพูดของน้องชายทำเอาผมอึ้งไปพูดไม่ออกหนังสือของผมเพราะหนังสือของผมเหรอพอพ่อรู้ว่า หนังสือของพี่วางแผง พ่อก็รีบไปซื้อทันทีพ่อบอกว่า…ไม่ซื้อไม่ได้… นี่ผลงานของลูก นี่ความฝันของลูกและพ่อยังบอกอีกว่าพ่อจะซื้อหนังสือของพี่ทุกเล่มมาถึงตรงนี้หยาดน้ำตาก็เริ่มไหลเอ่อรื้นอยู่เต็มขอบตาพี่รู้ไหมพ่อคิดถึงพี่มากแค่ไหน พ่อคิดถึงพี่เสมอนะพ่ออยากให้พี่กลับมาอยู่ด้วยพ่อยังบอกอีกว่า พ่อจะไม่บังคับอะไรลูก ๆ อีกแล้วชีวิตเป็นลูกพ่ออยากให้ลูกเลือกเดินเองแต่พ่อจะคอยอยู่ข้างหลังคอยเป็นกำลังใจให้ในยามที่ลูกเหนื่อยลูกท้อพ่อยังบอกอีกว่าพ่อเชื่อว่าลูกสามารถทำความฝันของตนเองเป็นจริงขึ้นได้อย่างมั่นคงคำพูดของน้องชายทำเอาน้ำตาที่เต็มไหลอาบแก้มเมื่อครู่ไหลอาบแก้มอย่างไม่รู้ตัวผมไม่เคยรู้สึกดีกับพ่อมาก่อนอย่างนี้ผมไม่เคยรู้สึกรักพ่อมาก่อนเท่าครั้งนี้ถึงเวลานี้ผมได้แต่นั่งรอเวลาที่ผมจะโผเข้าสวมกอดร่างของพ่ออีกครั้งจะนานแค่ไหนไม่รู้จะนานกี่ชั่วโมงไม่รู้กว่าที่ประตูห้องฉุกเฉินนั่นจะเปิดออกแล้วผมจะกลับเข้าบ้านหลังนั้นอีกครั้ง กลับเข้าไปสู่อ้อมแขนของพ่ออีกครั้งและครั้งนี้มันคงทำให้ผมเขียนเรื่องสั้นได้ทันส่งต้นฉบับวันพรุ่งนี้แน่นอนผมตั้งชื่อเรื่องรอไว้ก่อนแล้วว่า ‘นิทานของพ่อ’พ่อคนเดียวที่สอนให้ผมรู้จักตัวเอง ให้ผมเข้มแข็งให้ยืนหยัดได้ด้วยความฝัน สองแขนสองขาของตัวเองผมอยากบอกว่า ผมรัก รักมาก อย่างที่ไม่เคยรักมาก่อนและผมก็รักพ่อไม่น้อยกว่าที่รักแม่หรอก

วีรกรรมของแม่..

ผมทำงานเป็นพนักงานดับเพลิงอยู่ในนครนิวยอร์ค
...บางครั้งอาชีพนี้ก็ทำให้หดหู่ใจเพราะคราใดที่ย่านธุรกิจหรือบ้านถูกไฟเผาผลาญ คุณจะพลอยหัวใจสลายไปด้วยพนักงานดับเพลิงเจอเรื่องน่าสะพรึงกลัวมานักต่อนัก และบางครั้งก็ต้องเจอความตาย
...แต่วันที่ผมเจอเจ้าแมว สการ์เล็ต เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะมันเป็น เรื่องของชีวิตและความรัก
...วันนั้นเป็นวันศุกร์
...เรารุดออกไปดับไฟตามที่ได้รับแจ้งเมื่อตอนเช้าตรู่ว่ามีไฟไหม้ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งระหว่างที่เตรียมอุปกรณ์อยู่นั้น... ก็ได้ยินเสียงแมวร้องแต่ผมหยุดมือไม่ได้ ต้องดับไฟก่อนแล้วจึงจะหาแมวได้ไฟไหม้ครั้งนี้ลุกลามใหญ่โตมากเราจึงมีหน่วยงานอื่นๆมาช่วยสนับสนุนด้วย ทั้งฝ่ายตะขอเกี่ยวและบันไดเราได้รับแจ้งว่า ทุกคนในอาคารหลังนี้ออกมาได้โดยปลอดภัยแล้วผมเองก็หวังเช่นนั้นเพราะที่ปั๊ม มีแต่เปลวไฟเต็มไปหมด ใครขืนเข้าไปกู้ภัยคงจะไม่รอดแน่กว่าจะดับไฟได้ก็คงกินเวลานานมาก และต้องใช้กำลังคนมากมาย
...ถึงตอนนี้มีเวลามองหาแล้วว่าเสียงแมวมาจากไหนควันไฟยังพวยพุ่งออกมาจากตัวปั๊มเต็มไปหมดผมมองอะไรไม่ค่อยเห็น ได้แต่เดินตามเสียงแมวร้องไปเรื่อยๆ
...จนถึงบริเวณบาทวิถีห่างจากหน้าปั๊มราวๆ 5 ฟุต เห็นจะได้ก็เห็นลูกแมวตัวเล็กๆท่าทางอกสั่นขวัญแขวนสามตัวกอดกันกลมและส่งเสียงร้องกันระงมพอมองไปผมก็เจออีกสองตัว อยู่บนถนนตัวหนึ่งส่วนอีกตัวอยู่อีกฝั่งถนนหนึ่งแมวพวกนี้คงจะติดอยู่ในอาคารเป็นแน่ เพราะขนมันถูกไฟลนเสียจนโกร๋นผมตะโกนขอลังสักใบและมีนักมุงหามาให้ใบหนึ่งผมจับลูกแมวทั้งห้าตัวใส่ในลัง และอุ้มลังไปพักไว้หน้าระเบียงบ้านหลังหนึ่งแถวนั้นผมมองหาแม่แมวสังหรณ์ว่าแม่แมวคงจะเข้าไปในปั๊มที่ไฟกำลังไหม้และทยอยคาบลูกออกมาวางไว้บนบาทวิถีทีละตัวลองคิดดูก็แล้วกันว่าต้องวิ่งเข้าไปในกองไฟที่กำลังลุกโชติช่วงถึงห้าครั้งห้าคราจากนั้นก็ต้องพยายามให้ลูกแมวไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ไกลอาคารออกไปทีละตัวๆเช่นกันแต่แม่แมวดูเหมือนจะยังขนลูกออกมาไม่หมด
...แล้วแม่แมวไปอยู่เสียที่ไหน??ตำรวจคนหนึ่งชี้บอกว่า เห็นแมวเข้าไปในที่ร้างตรงที่ผมเจอลูกแมวสองตัวสุดท้าย
...แม่แมวอยู่ที่นั่นจริงๆ มันนอน ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดแผลไฟไหม้ดูสาหัส ตาเป็นแผลพองจนลืมไม่ขึ้นอุ้งเท้าดำเพราะถูกไฟลน ขนถูกไฟลามเสียจนเห็นหนัง บางแห่งจะเห็นเนื้อแดงเหวอะหวะตัวอ่อนปวกเปียกจนเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ผมเดินไปหามันช้าๆค่อยๆพูดกับมันเบาๆ มันคงจะเป็นแมวป่าผมไม่อยากให้มันตกใจ
...เมื่อผมอุ้มมันขึ้นมา แม่แมวร้องอย่างเจ็บปวดกลิ่นขนและเนื้อหนังของมันส่งกลิ่นเหม็นไหม้ มันไม่กระดุกกระดิกมันพยายามลืมตาจะมองผม แต่ลืมไม่ขึ้นดูมันเหนื่อยอ่อนเต็มประดา ได้แต่ซุกเข้าอ้อมแขนของผมผมตื้นตันน้ำตาคลอหน่วยเมื่อรู้สึกว่าแม่แมวไม่กลัวผม ไว้ใจผมผมตั้งใจว่าจะช่วยชีวิตแม่แมวผู้กล้าหาญและลูกทั้งห้าตัวของมันชีวิตของพวกมันขึ้นอยู่กับผม ผมค่อยๆวางแม่แมวลงในลังรวมกับลูกๆแม่แมวตาบอดยังอุตส่าห์ใช้จมูกแตะลูกแมวแต่ละตัวจนทั่วเพื่อให้แน่ใจว่าทุกตัวปลอดภัย มันเบาใจที่ลูกของมันอยู่ครบทุกตัวแม้ตัวมันเองจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตามแมวทั้งหมดต้องได้รับการเยียวยารักษาโดยด่วน...ผมนึกถึงบ้านสงเคราะห์สัตว์แห่งหนึ่งชื่อ สันนิบาตสัตว์นอร์ทชอร์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ลองไอส์แลนด์ผมเคยนำสุนัขถูกไหม้ไฟอาการสาหัสไปให้ที่นั่นรักษาแผลเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน องค์กรนี้ช่วยได้แน่ผมโทรศัพท์ไปแจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่ากำลังพาแม่แมวและลูกแมวถูกไฟลวกอาการสาหัสไปให้รักษาผมไม่มีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้า ยังสวมชุดดับเพลิงที่มีคราบควันไฟอยู่เต็มแล้วบึ่งรถบรรทุกของผมไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อไปถึงก็เห็นสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่สองชุดเตรียมตัวรับแมวอยู่แล้วที่ลานจอดรถพวกเขารีบนำแมวทั้งหมดเข้าไปในห้องพยาบาลทีมหนึ่งรักษาแม่แมวอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่งและอีกทีมหนึ่งดูแลลูกแมวอยู่อีกโต๊ะหนึ่งผมรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นกำลังจากการดับไฟ และพยายามไม่เข้าไปเกะกะในห้องพยาบาลผมไม่ค่อยหวังเท่าไหร่ว่าแมวเหล่านี้จะรอดชีวิต แต่ถึงอย่างไรก็ทิ้งมันไม่ลง
...หลังจากรออยู่ครู่ใหญ่ สัตวแพทย์ก็บอกผมว่าเขาจะต้องเฝ้าอาการแม่แมวและลูกของมันทั้งคืน แต่ไม่มั่นใจนักว่าตัวแม่จะรอดหรือเปล่า...วันรุ่งขึ้นผมกลับไปอีก รอแล้วรอเล่ากำลังจะเลิกล้มความหวังแล้วสัตวแพทย์ก็เดินเข้ามาบอกข่าวดีกับผมว่าลูกแมวรอดแล้ว แล้วแม่แมว ผมกลัวคำตอบเหลือเกินยังบอกไม่ได้ครับ ขอดูก่อนผมไปที่นั่นทุกวันเพื่อรอฟังอาการ แต่ละวันก็ได้ยินคำตอบซ้ำๆคือต้องรอดูก่อน...ประมาณหนึ่งสัปดาห์ให้หลังผมไปที่สถานสงเคราะห์สัตว์อีกครั้งด้วยความรู้สึกหดหู่ นึกในใจว่าถ้าแม่แมวไม่ตาย ป่านนี้ก็รู้แล้วล่ะจะมีอาการ่อแร่อย่างนี้ไปอีกนานเท่าไรแต่ทันที่ผมเดินเข้าไป สัตวแพทย์ก็ยิ้มรับและยกนิ้วให้สัญญาณผมว่าแม่แมวไม่เพียงแต่รอดพ้นจากขีดอันตรายเท่านั้นอีกหน่อยมันจะมองเห็นได้อีกด้วย
...เอาละ ในเมื่อแม่แมวอุตส่าห์รอดมาได้อย่างนี้
...ก็ต้องตั้งชื่อให้มันเสียหน่อยเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตั้งชื่อว่าแม่สการ์เลตแปลว่า
..."แดงก่ำ"
...เพราะผิวที่แดงเถือกของมันผมสะท้อนใจที่ได้เห็นแม่แมวเจอหน้าลูกๆอีกครั้งเพราะรู้ดีว่ามันต้องกัดฟันต่อสู้ขนาดไหนกว่าจะรอดมาได้
...แล้วทายซิว่าสิ่งแรกที่แม่แมวทำคืออะไร??
...มันนับลูกอีกครั้ง โดยใช้จมูกแตะลูกแมวทีละตัวๆให้มั่นใจว่าลูกๆอยู่กันปลอดภัยโดยครบถ้วน มันยอมเสี่ยงภัยเพื่อลูก ไม่ใช่ครั้งเดียวแต่ถึงห้าครั้ง และได้ผลด้วย ลูกๆของมันรอดชีวิตทั้งหมด!อาชีพอย่างผมนี่มีโอกาสได้เห็นวีรกรรมกล้าหาญอยู่ทุกวันแต่ที่แม่แมวพิสูจน์ให้เห็นในวันนั้น เป็นสุดยอดวีรกรรมเป็นวีรกรรมที่มาจากความรักของแม่โดยแท้

ได้ดังประสงค์ แต่ไม่สมปรารถนา

ชีวิต มันไม่ได้ดังใจเราเสมอไปหรอกหลายสิ่งที่ต้องการ ก็ไม่ได้มา ขณะที่บางสิ่ง แม้ว่าจะได้ดังประสงค์ หากก็ดูเหมือนจะ..ไม่สมปรารถนาเราถูกสอนมา แบบสุขนิยมในเชิงบริโภคนิยมว่า ..ต้องได้มาดังใจจึงจะมีความสุขจนลืมมองไปว่า ในธรรมชาติ ไม่มีสิ่งใดได้ดังใจไม้ใหญ่ที่ยืนต้นงามสง่า ไม่เคยบังคับแดดฝนได้ดังใจส่วนต้นอ้อล้อลมนั่นเล่า ก็อาจจะไม่ได้พิศวาสอะไรเลยกับสายลมที่ต้นไม้ทำได้ ก็คือเติบโตไปทีละวันๆที่ต้นอ้อทำได้ ก็คือไม่ต้านแรงลมที่คนเราทำได้ ก็อาจจะเป็นเพียงแค่ดำเนินชีวิตไปตามธรรมดามีความสุขแบบที่ไม่จำเป็นต้องฝืนใจมีความรักแบบที่ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเราถูกสอนมาโดยหลายสิ่งหลายอย่างรอบๆตัว ให้ไขว่คว้าหาสิ่งที่ดีที่สุดแต่พอได้มาตามประสงค์ มันก็ยังไม่สมความปรารถนามีสิ่งที่ดีกว่ารอข้างหน้าอยู่ร่ำไปดีที่สุดนั้นไม่มีจริง แต่เหมาะสมที่สุดเท่านั้นหรอกที่อาจจะเป็นไปได้สิ่งที่เรามีอยู่และฝันที่ไม่ไกลเกินเอื้อม อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราแต่ละคนแล้วก็ได้ไม่ใช่เพราะว่าเรามีคุณค่าน้อยกว่าคนอื่น มีค่าไม่ควรแก่ “สิ่งดีที่สุด” ที่ใครก็อยากได้หากเป็นเพราะว่าเรามีค่าเกินกว่าที่จะไปแย่งชิงกับใคร..แม้ในสิ่งที่ขึ้นชื่อว่า “ดีที่สุด”สิ่งที่ฉันมี และสิ่งที่ฉันเลือกจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉันเสมอดีที่สุดเพราะเหมาะสมที่สุดดีที่สุดเพราะไม่ทำให้เหนื่อยจนเกินไปดีที่สุด เพราะให้เรามีเวลาได้ชื่นชมแทนที่จะต้องเสียเวลาไปกับการวิ่งตามเราถูกสอนว่า เราต้องตามให้ทันโลก ไม่อย่างนั้นเราจะพลาดบางสิ่งที่คนอื่นชิงได้ไปก่อนดูเหมือนว่าโลกทั้งโลกจะเต้นระบำเป็นจังหวะรุมบ้าที่เร่งร้อนขึ้นทุกวันในขณะที่ใครบางคนกลับพิศมัยที่จะเยื้องย่างไปช้าๆในจังหวะวอลซ์โลกหมุนเร็วจนเราต้องวิ่งถึงจะตามทันและบางวันที่เหนื่อยหนัก ..ฉันก็ไม่อยากจะวิ่ง..ถ้าเราเดินช้าๆ ในขณะที่โลกหมุนเร็วๆเราอาจจะทรงตัวได้มั่นคงกว่าได้ตามประสงค์มากไป มันก็อาจจะไม่ดีบางที..ถ้าไม่ได้ดังประสงค์ หรือถ้าไม่ตั้งความหวังไว้มากไปนักชีวิตเราอาจจะสมปรารถนากว่าที่เป็นอยู่ก็ได้และวันนี้ ฉันก็เลือกที่จะเดินแทนที่จะวิ่งตามใคร..ต่อใครเพราะว่านั่นทำให้ฉันเห็นโลกทั้งใบได้ชัดเจนกว่าและรู้สึกลึกซึ้งถึงการไม่ได้ดังประสงค์..ทว่า…สมปรารถนา

ปรัชญา ผ้าขี้ริ้ว

ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาดเสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุขพ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบายความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้ม อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้อื่นผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้ แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลาเสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้วมิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเองสะอาดผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุดเหมือนคนที่ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยนไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่นเขาจะเป็นคนที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตามเป็นผู้ใฝ่รู้แต่ไม่อวดดี เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคา แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่า ด้วยการทำงานมิใช่ด้วยการประจบทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิตต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่นผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไรเหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่นรู้จักอาสาคน อาสาทำงาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆก็ตามคนที่ตกงานเพราะไม่ยอมทำงานผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุดเหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำแต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการเหมือนคนที่อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคมดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้ ความสามารถของตนและยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าเข้าไปบริหารผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาดเหมือนคนควรพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของคนอื่นต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นนายอินหรือนางอินผู้ปิดทองหลังพระ มีความสุขและภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่นมีมากที่ผู้น้อยบางคน ทำงานแล้วทำให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้นผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบางเหมือนคนที่มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหาแม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็อดทนได้เพื่อให้สำเร็จ ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบางหักง่ายคือไม่เป็นคนทุกข์ง่ายใจเบา แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดินผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกึนปรามาสสบประมาท จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรคครั้งนั้นให้ได้ไม่พ่ายแพ้ต่อคำปรามาสของผู้อื่นรู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจในสิ่งนั้นมองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่าเมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอผ้าขี้ริ้วมีเสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรกชีวิตของคนเราก็เช่นกัน หากทนความทุกข์ยากลำบากยอมสัมผัสกับงานที่ต่ำต้อยได้ก็จะมีเสน่ห์ และมีความหมายทุกคนจึงควรพากเพียรพยายามสร้างเสน่ห์ให้กับชีวิตอย่างที่ผ้าขี้ริ้วสร้างเสน่ห์ให้กับตนเองคุณเห็นด้วยไหม ที่ว่าเราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อนแล้วเราจะไม่รู้สึกท้อแท้หมดหวัง

ใช้คนให้เป็นอย่างคุณธนินท์ เจียรวนนท์..

ท่านประธานธนินท์มักกล่าวกับผู้บริหารและผู้ร่วมงานในเครือฯอยู่เสมอว่า"คนที่จะเป็นผู้บริหารระดับสูงไม่ควรมองที่ จุดด้อยของคนอื่น แล้วมองแต่จุดเด่นของตัวเอง เพราะว่าถ้าพยายามมองจุดด้อยของคนอื่น ก็จะคิดว่าตัวเองเก่งอยู่ทุกครั้งทุกทีไป จึงไม่ได้มีความพยายามปรับตัว เราต้องมองจุดเด่นของคนอื่น แล้วหาทางใช้จุดเด่นของเขาให้เป็นประโยชน์ จึงสามารถทำงานใหญ่ได้"โดยท่านถือหลักการในการบริหารคนและองค์กรที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า"องค์กรที่ดีต้องประกอบด้วยคน 4 รุ่นคือ รุ่นอายุ 50 ปี รุ่นอายุ 40 ปี รุ่นอายุ 30 ปี และรุ่นอายุหนุ่มสาวที่เพิ่งจบการศึกษา เพราะคนเราต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เก่งอย่างไรก็ต้องมีวันหยุด เมื่อหยุดแล้วจะหาใครมาทดแทน เราต้องมีการสร้างคนอีก 3 รุ่นลงมารองรับไว้ก่อน"ท่านประธานธนินท์ มีเหตุผลว่าธุรกิจจะดำเนินไปได้หรือขยายตัวได้และจะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่คน ทุกอย่างล้วนมาจากคน เงินก็มาจากคน เทคโนโลยีก็มาจากคน"ผมถือว่าคนเป็นทรัพยากรสำคัญที่ล้ำค่าอันเป็นหัวใจของทุกองค์กร เราจึงต้องมีคนที่มีความรับผิดชอบสูง มีความมานะพยายาม มีความรู้ความสามาถ และมีความซื่อสัตย์สุจริตอยู่ในองค์กรให้มากๆ จึงจะสามารถนำองค์กรหรือบริษัทไปสู่ความสำเร็จได้"หากบริษัทอยากจะเจริญก้าวหน้าอย่างไม่สิ้นสุด ก็ต้องพัฒนาคนไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน ต้องสร้างคนให้มีคุณภาพเมื่อมีประสิทธิภาพก็เกิดประสิทธิ ผลในการทำงาน ซึ่งสร้างประโยชน์ทั้งต่อบริษัท และสังคม ไม่มีอะไรที่ให้สังคมได้ดีที่สุดเท่ากับการพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถท่านประธานจึงให้ความสำคัญกับคนที่มีความรับผิดชอบสูง มีความอดทนเยี่ยม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความขยันหมั่นเพียรก่อนเหตุผลคือ หาก "คน" มี 4 ประการแรกแล้ว สามารถพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่งได้"มนุษย์เราทุกคนมีความสำเร็จอยู่ในตัวเองทั้งนั้น ชีวิตคนทุกคนต้องมีจุดเด่นที่สามารถนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จได้ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ อย่าเป็นคนที่เหลิง หลงตัวเองว่าเก่ง เพราะวันนี้เก่ง พรุ่งนี้อาจจะไม่เก่งก็ได้ อาจจะมีคนเก่งกว่าเราก็ได้ และถ้าเราเหลิงจะมีแต่ถอยหลัง อย่าลืมว่าโลกของเรามีแต่จะก้าวไปข้างหน้า"ผู้บริหารที่จะประสบความสำเร็จนั้น นอกจากตัวเองจะมีความรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจอย่างถูกจังหวะรวมถึงมองการณ์ไกลแล้วยังต้องได้รับความร่วมมือจากพนักงานในระดับปฏิบัติการอย่างเต็มความสามารถ นั่นคือการเป็นเจ้านาย ที่ดีต้องอย่าทำตัวเหมือน "นก" แต่ให้เป็นเหมือน "หนอน"เพราะการทำตัวเหมือน "นก" ก็มักแต่ชอบบินสูงอยู่บนฟากฟ้า คิดว่าตัวเองเหนือผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งก็อยู่สูงเกินไปจนมองไม่เห็นความเป็นไปบนพื้นดินและการที่ ซี.พี.แตกบริษัทย่อย แบ่งกลุ่มธุรกิจออกไป เช่น กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม กลุ่มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกลุ่มธุรกิจเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และเคมีเกษตร กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ฯลฯ นั้นก็เป็นวิธีการกระจายอำนาจกระจายหน้าที่ความรับผิดชอบ กระจายความเสี่ยง และการสร้างคน"ผมมองคนอื่นว่าเก่งกว่าผมเสมอ ผมไม่เคยมองใครว่าเก่งสู้ผมไม่ได้ สำหรับคนที่ทำงาน กับเรา ผมยึดหลักว่าจะต้องเปิดโอกาสให้เขาแสดงความสามารถ เมื่อใครแสดงความสามารถออกมาเราจะต้องส่งเสริมสนับสนุนเขาให้มีตำแหน่งสูงๆ ขึ้นไป เราต้องพยายามรักษาเขาให้อยู่กับเรานานที่สุด เราจะต้องสร้างคนที่มีความสามารถให้เกิดขึ้นมากๆ"นอกจากนี้ ท่านประธานยังยึดคติพจน์"ความล้มเหลวคือแม่ของความสำเร็จ""ผมชอบคนที่ทำงานเสียหายแล้วรู้ว่าเสียหายอย่างไร และผมจะให้โอกาสเขาแก้ตัวใหม่ แต่ถ้าทำเสียหายแล้วบอกว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำถูกต้องแล้ว แถมยังโยนความผิดไปให้คนอื่น คนอย่างนี้ผมไม่กล้าใช้ให้ทำงานอีกต่อไป"ยิ่งการจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น ท่านประธานธนินท์ยังมีมุมมองที่น่าสนใจ"การที่จะทำอะไรให้สำเร็จ อย่าเพิ่งไปคิดว่า เรามีกำไรเท่าไหร่ เราจะได้ผลประโยชน์อะไร เราน่าจะคิดว่างานชิ้นนี้เรามีโอกาสทำได้ดีที่สุดหรือเปล่า แล้วทำสำเร็จได้หรือไม่ เราจะทำงานชิ้นนี้ให้ดีที่สุด เราต้องทำให้ดีกว่าคนอื่น แล้วความสำเร็จจะตามมา"(จากส่วนหนึ่งใน "มุมคิด" เรื่องคนของ "ธนินท์" ซึ่งหยิบมาจากหนังสือ "36 กลยุทธ์ ธนินท์ เจียรวนนท์" เรียบเรียงโดยวิจักษณ์ วรบัณฑิตย์ ) ผู้แต่ง : วิจักษณ์ วรบัณฑิตย์