Google
 

08 สิงหาคม 2553

ล่องแพพะโต๊ะ - Homestay เกาะพิทักษ์

หยุดวันแรงงานที่ผ่านมา ฉันและเพื่อนๆ รวม 9 คน ได้วางโปรแกรมกันไว้ว่าเราจะไปเที่ยวแบบ Homestay ที่เกาะพิทักษ์ ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร
เช้าตรู่ ของวันที่ 1 พ.ค.2553 เป็นเวลาที่เช้ามากจริงๆ เพราะเพื่อนๆ นัดเจอกันที่บ้านของฉันแถววงเวียนใหญ่เวลาเที่ยงคืน เราตกลงกันไว้ว่าจะขับรถไปกันเอง โดยจะเอารถไป 2 คัน คือรถของน้องยู และรถของน้องวี (ชื่อเรียงกันตามพยัญชนะภาษาอังกฤษพอดีเลย)
เรารอเพื่อนๆ มากันจนครบ จึงได้ออกเดินทางกันตอนเที่ยงคืนครึ่ง ขับรถกันไปเรื่อยๆ ฉันนั่งรถของน้องวี สมาชิกในรถมีทั้งหมด 5 คน ส่วนรถของน้องยู มีสมาชิก 4 คน แรกๆ ก็ยังคุยกันเฮฮาลั่นรถ พอเวลาล่วงเลยมาถึงตีสาม ก็ค่อยๆ หลับกันไปทีละคนจนในที่สุดก็หลับกันหมด เหลือแต่น้องวีที่ทำหน้าที่สารถีคนเดียวที่หลับไม่ได้ ด้วยฤทธิ์ของกาแฟกระป๋อง 2 กระป๋อง, กาแฟอาเมซอน 1 แก้ว และเครื่องดื่มชูกำลังอีก 1 ขวด
น้องวีจอดรถพักเป็นระยะๆ ส่วนฉันก็หลับบ้างตื่นบ้าง แต่มารู้สึกตัวตื่นจริงๆ ก็ฟ้าสาง ที่ตลาดเช้าท่าตะโก 6 โมงเช้า ฉันมองไปรอบๆ พร้อมกับบันทึกภาพวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ ชาวบ้านกำลังใส่บาตรพระที่กำลังเดินบิณฑบาตรเรียงแถวอยู่ 3 รูป บางคนกำลังพูดกับพ่อค้าแม่ค้าเพื่อจับจ่ายซื้อหาของกินกลับบ้านส่งสำเนียงภาษาใต้กันไปมา บรรยากาศสบายๆ อากาศสดชื่น พวกเราจึงแวะดื่มกาแฟ ในเพิงเล็กๆ ของป้าขายกาแฟใจดี พวกเราฝากท้องอาหารมื้อเช้าไว้ที่นี่ มีทั้งปาท่องโก๋ ขนมครก ขนมใส่ไส้ ข้าวเหนียวหมู

(ตลาดท่าตะโกยามเช้า)


อิ่มแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ จุดหมายปลายทางคือ อ.พะโต๊ะ ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นหน้าร้อน เพราะระหว่างทางอากาศสดชื่นมาก มีหมอกจางๆ ให้ได้ชื่นใจตลอดทาง เรานัดจะไปล่องแพที่ "มาลีนล่องแพ" เมื่อไปถึง ยังเป็นเวลาเช้ามาก พวกเราจึงถือโอกาสนอนพักผ่อนเอาแรงกันคนละหนึ่งตื่น ทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้บ้าง
จนได้เวลาประมาณ 9 โมง เราก็นั่งรถไปที่ต้นน้ำเพื่อเริ่มล่องแพ แพที่ใช้ล่องปัจจุบันนี้ไม่ได้ทำจากไม้ไผ่เหมือนเมื่อก่อน เพราะไม้ไผ่นั้นแตกและพังง่ายไม่ทนทาน แพที่ใช้ปัจจุบันนี้จึงทำจากท่อ PVC อย่างหนา เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-6 นิ้ว นำมาล็อคติดกันด้วยไม้และเหล็กขันน๊อตยึดไว้ด้วยกันจำนวน 8 ลำ แพลำหนึ่งจะบรรทุกคนได้ประมาณ 5-6 คน


พวกเรานั่งกันไปบนแพ คนถ่อแพอยู่ด้านหน้าสุดของแพ แสงแดดแผดกล้า ลมพัดเบาๆ น้ำไหลเอื่อยๆ เบาบ้างแรงบ้างเป็นบางช่วง และบางช่วงก็เจอไม้หักหล่นลงมากีดขวางทางน้ำ เจ้าหน้าที่จึงต้องออกแรงจัดการกับสิ่งกีดขวาง บางแห่งเห็นชาวบ้านมาร่อนแร่ดีบุกเพื่อนำไปขายกันคึกคัก ตลอดสองข้างทางน้ำ เป็นป่าไม้ร่มรืน ฉันได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่ ดูพวกเค้ามีความสุขกับชีวิตที่เรียบง่ายไม่ต้องเร่งรีบเหมือนพวกเราในเมืองกรุง

(การร่อนแร่ดีบุก วิถีชีวิตริมฝั่งน้ำ)


เราล่องกันมาจนถึงปลายทาง ความร้อนแรงของแสงแดด ทำให้พวกเราต่างก็เหนื่อยล้า ขึ้นจากแพก็ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี อาหารกลางวันวันนี้แปลกตรงที่ ข้าวที่เรากินไม่ได้มาเสริฟเป็นจาน แต่มาเป็นกระบอก เมื่อผ่ากระบอกออกก็จะเจอห่อข้าวเหมือนห่อข้าวต้มมัดยาวๆ หลายก้อนอยู่ในนั้น ทราบจากพนักงานว่า ใบไม้ที่ใช้ห่อนั้นคือใบคุ้ม นำมาห่อข้าว อัดลงในกระบอกไม้ไผ่ แล้วนำกระบอกไม้ไผ่ไปเผาไฟจนข้าวสุกได้ที่ จากนั้นก็ผ่ากระบอก แกะห่อออก ก็กลายเป็นข้าวสวยร้อนๆ ที่หอมอร่อยให้พวกเราได้กิน


ยังพอมีเวลาว่างหลังอาหารกลางวัน เราจึงได้โดยสารรถสองแถว ที่น้องต้นและน้องยุ้ย (เพื่อนใหม่ของเราที่มาเจอกันตอนล่องแพ) เช่ามาวันละ 1,000 บาท ไปเที่ยวที่ใกล้ๆ คือ น้ำตกเหวโหลม อยู่ห่างจากที่นี่ 15 กิโลเมตร ช่วงนี้น้ำไม่ค่อยเยอะ แต่พอจะมองเห็นภาพว่าเวลาที่น้ำเยอะนั้นคงจะสวยงามไม่น้อยเลย แต่เสียดายที่มีขยะเต็มไปหมด ทั้งๆ ที่มีป้ายเขียนไว้ชัดเจนว่าห้ามทิ้งขยะ หากฝ่าฝืนปรับ 2,000 บาท

(แวะเที่ยวน้ำตกเหวโหลม)


กลับจากเที่ยวน้ำตก พวกเราจึงออกเดินทางต่อไปยังปากน้ำหลังสวน ตามเส้นทางถนนเลียบชายทะเล ปากน้ำหลังสวน-ปากน้ำตะโก ประมาณ 13 กิโลเมตร เพื่อไปยังท่าเรือข้ามไป "เกาะพิทักษ์" ระหว่างทางได้ทราบว่า "บ้านป้าเล็ก" ที่เราจองไว้เป็นที่พัก Homestay ในคืนนี้ โทรมาบอกว่าน้ำจืดไม่มีใช้มา 3 วันแล้ว ไม่สามารถให้พวกเราไปพักได้ ทำเอาพวกเราวุ่นวายหาที่พักใหม่กันยกใหญ่ แต่โชคดีมาก ที่ได้ที่พักใกล้ๆ กับบ้านป้าเล็ก คือ "บ้านป้าศรี"

(เกาะพิทักษ์ - มุมที่นอนในบ้านป้าศรี - น้องเอิร์ท นางแบบคนสวย)


ป้าศรี ชื่อเต็มๆ คือ ป้าพรศรี รัตนราช เจ้าของบ้านใจดีที่ต้อนรับพวกเราให้ได้อาศัยพักนอนในคืนนี้ บอกว่า ที่บ้านมีแท้งค์เก็บน้ำหลายใบ ทำให้มีน้ำจืดสำรองไว้ใช้ได้ในยามฉุกเฉิน และบังเอิญอีกเช่นกันที่คณะอื่นที่จองมานั้น ไม่สามารถติดต่อเพื่อ confirm ได้ ป้าจึงตัดสินใจรับพวกเราเข้ามาพักแทนคณะนั้น ที่บ้านป้าศรี นอกจากพวกเรา 9 คนแล้ว ยังมีแขกมาพักอีกหลายกลุ่ม บางกลุ่มมากันสิบกว่าคน บางกลุ่มมากัน 5 คน รวมๆ แล้วคืนนี้ มีแขกที่มาพักที่บ้านนี้ประมาณ 30 กว่าคน แต่ถึงแขกจะเยอะขนาดไหน ป้าศรีและลูกหลานในบ้าน ต่างก็ช่วยกันดูแลแขกทุกกลุ่มได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องและเป็นกันเอง ในจำนวนหลานของป้าศรีนั้น มีเด็กหญิงตัวเล็กชื่อ "น้องเอิร์ท" อายุประมาณ 4 ขวบ คอยส่งเสียงใสๆ ทักทายบรรดาแขกเหรื่อ และมีจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยการบริการ คอยดูแลจัดหาที่หลับที่นอนให้พวกเรา

(อาหารสุดอลังการ)


อาหารที่นี่ก็อร่อยทุกมื้อ แถมยังเยอะอีกต่างหาก ได้กินอาหารทะเลกันซะจนฉันตั้งใจว่า กลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่จะงดกินอาหารทะเลไปอีก 1 เดือนเลยทีเดียว เนื่องจากมีแขกเยอะมากป้าแกเลยวุ่นวายอยู่กับการดูแลเอาใจใส่แขกอีกหลายกลุ่ม เราจึงช่วยกันล้างจานอาหารมื้อเย็นเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ น้ำยาล้างจานของที่นี่กลิ่นแปลกๆ ไม่เหมือนที่เราใช้กันอยู่ ถามป้าเลยได้ความรู้ใหม่ว่า ที่นี่ทำน้ายาล้างจานกันเอง ใช้สัปปะรดล้างสะอาดต้ม แล้วกรองน้ำ ผสมเกลือ และ N70 ตามสูตร เท่านี้ก็ได้น้ำยาล้างจานที่ไม่ทำลายสภาพแวดล้อม แถมป้ายังบอกว่าใช้ซักผ้าก็ได้ด้วย เรียกว่าประหยัดรายจ่ายได้อีกทางหนึ่ง

(นั่งเรือออกไปตกหมึก)


ตอนค่ำๆ นั่งเรือออกไปตกหมึก แต่รออยู่นานก็ไม่ได้สักที นานๆ จะมีว่ายมาให้เห็นซักตัวก็เอาสวิงช้อนใส่ถังไว้ รวมแล้วได้แค่ 2 ตัว พี่คนขับเรือบอกว่าตอนหัวค่ำพาคณะอื่นมาตกหมึกได้กันไปหลายสิบตัว แต่เวลาที่พวกเราไปนั้นดึกแล้ว ฉันเลยคิดเล่นๆ ว่า สงสัยปลาหมึกคงจะไปนอนกันหมดแล้วมั้ง นั่งโคลงเคลงอยู่ในเรือซักพัก ก็บอกให้พี่คนขับพากลับบ้านดีกว่า เพราะว่าเริ่มเมาเรือซะแล้ว
เช้าวันที่ 2 พ.ค. อาหารเช้ามีข้าวต้มกุ้ง แต่เนื่องจากมีกุ้งเเยอะกว่าข้าว เราจึงเรียกกันว่า "กุ้งต้มข้าว" น่าจะเหมาะกว่า สายๆ เพื่อนๆ ไปดำน้ำกัน แต่ฉันไม่ค่อยจะชอบปะการังซักเท่าไหร่ จึงรออยู่ที่บ้าน ระหว่างรอก็ซื้อเสื้อยืดพิมพ์คำว่าเกาะพิทักษ์มาใส่ 1 ตัว เมื่อเพื่อนๆ กลับมาก็ได้เวลาอาหารกลางวันซึ่งเป็นมื้อสุดท้ายของที่นี่ ก่อนที่เราจะร่ำลาจากบ้านป้าศรี ก็เลยถือโอกาสถ่ายรูปป้าไว้เป็นที่ระลึกด้วย

(ป้าศรี - ทะเลแหวก - ย่ำน้ำขึ้นฝั่ง)


ขากลับเรือไปส่งเราที่ฝั่ง แต่ไม่สามารถเข้าไปถึงฝั่งได้เนื่องจากน้ำทะเลตื้นมาก พวกเราจึงต้องลงเดินย่ำน้ำซึ่งสูงแค่เข่าเข้าฝั่งกันเอง ทราบข้อมูลจากชาวบ้านว่าที่นี่จะมีการแข่งวิ่งมาราธอนตอนประมาณเดือน 6 เพราะน้ำทะเลที่นี่จะลดต่ำมากจนสามารถเดินข้ามจากบนฝั่งไปที่เกาะได้สบายๆ หรือที่เคยได้ยินเค้าเรียกกันว่า "ทะเลแหวก" ซึ่งเป็นเสน่ห์ไม่มีที่ไดเหมือน
การท่องเที่ยวของฉัน ถึงแม้จะเป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้ฉันได้รู้ได้เห็นอะไรมากมาย เห็นภาพวิถีชีวิตของชาวบ้านที่แสนจะเรียบง่ายแต่ดูมีความสุข ได้รู้จักลุงใจดีที่ร้านกาแฟซึ่งตั้งอกตั้งใจบอกเส้นทางการเดินทางให้พวกเรา รู้จักป้าใจดีร่อนแร่เป็นตัวอย่างให้พวกเราดูใกล้ๆ รู้จักอาหารการกินที่แปลกไปจากที่เราเคยกิน รู้จักเพื่อนใหม่ทำให้ได้ไปเที่ยวอีกแห่งที่ไม่ได้วางไว้ในโปรแกรม เห็นความร่วมมือร่วมใจของเพื่อนๆ เมื่อต้องพบกับปัญหาไม่มีที่พัก เห็นน้ำใจของป้าเจ้าของบ้านที่ให้เราพักอาศัย เห็นความเป็นมิตรของเด็กตัวเล็กๆ เห็นสิ่งแปลกใหม่"ทะเลแหวก"ที่ไม่คิดว่าจะมีที่เมืองไทย ทุกอย่างถือเป็นกำไรชีวิตที่หาได้ง่ายๆ จากการเดินทางแม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม


ใครชอบกระดกแบบนี้...ระวัง!! *~๏ ดูไว้เป็นอุทาหรณ์ น่ากลัว!!

ใครชอบกระดกแบบนี้...ระวัง!! *~๏ ดูไว้เป็นอุทาหรณ์ น่ากลัว!!






ขอบริจาคเลือดกรุ๊ปB ด้วยค่ะ

ผู้ป่วยชื่อ นางสาวพรวิไล วงศ์สาลี เป็นโรคธารัสซีเมีย กำลังรอการผ่าตัดม้ามอยู่
หากท่านใดมีกรุ๊ปเลือด B RH+ ช่วยกันบบริจาคหน่อยนะคะ น้องอยู่ที่โรงพยาบาลมหาชัย2 ห้อง ICU

หากท่านไปบริจาคเลือดที่สภากาชาด ให้เขียนที่ด้านบนแบบฟอร์มที่ต้องกรอก ว่าขอมอบเลือดให้แก่ นางสาวพรวิไล วงศ์สาลี โรงพยาบาลมหาชัย2 ห้องICU ค่ะ

ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างมาก
ขออภัยหากเมล์นี้เป็นการรบกวนท่าน

รบกวนช่วยกันส่งต่อด้วยนะคะ หากท่านมีสิ่งใดสงสัยสอบถามได้ที่โรงพยาบาลมหาชัยได้ค่ะ

นางเอกสันดานไพร่ บุกตบคู่อริ เลือดสาดข้อหาแย่งปั๋ว


ตายไปเถอะ รีบไปตายซะที จะไปตายที่ไหนก็ไป


เหตุบ้านการเมืองยังไม่จบสิ้นซะที จน นังชะนีหน้าดำ อยากจะบินหนีความวุ่นวายไปอยู่ขั้วโลกเหนือให้มันแล้วรู้รอดไปเลย ส่วน ด็อกเตอร์เห็ด ก็ไม่สะทกสะท้านเพราะว่ามัวแต่วุ่นวายเรื่องราวข่าวคาวในวงการบันเทิงแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ใครเขาจะไปขึ้นช้างลงม้าที่ไหนก็ไม่หวั่นเพราะต้องการที่จะเอาเรื่องข่าวในวงการตลอดเวลา และเรื่องที่จะต้อง เปิดโปง ก่อนใครเห็นจะเป็นเรื่องของ นางเอกสันดานไพร่ คนนี้ ที่ขยันสร้างเรื่องราววุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น ต้องให้พ่อแม่ ตามล้าง-ตามเช็ด ให้ตลอดเวลา

ถ้าพวกมีอิทธิพลไม่ให้ ด็อกเตอร์เห็ด เปิดโปงเรื่องนี้ก็คงจะไม่ได้วะแล้ว เพราะว่าเรื่องที่จะแฉต่อไปนี้เป็นเรื่อง นางเอกระดับแถวหน้าของเมืองไทย ที่มีงานละครเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จนกลายเป็นนางเอกดาวรุ่งของสถานียักษ์ใหญ่ไปซะแล้ว แต่ใครจะรู้ว่า ชะนีน้อยหอยสังข์ นางนี้จะมีดีกรีเป็นสาวเจ้ากำลังกับเขาด้วย

เริ่มเมื่อครั้งที่ นางเอกสันดานไพร่ ไปหาเรื่องกับเพื่อนซี้ชะนีนางเอกร่วมช่อง จนเป็นเรื่องราวใหญ่โตสื่อทุกสำนักต้องประโคมข่าวฉาวเรื่องนี้อย่างไม่จบสิ้น แต่แต่หลังจากที่เรื่องเคลียร์กันจบก็ยังจะมีข่าวเล็ดลอดออกมาอีกว่า นางเอกคนนี้ยังส่งคนไปหาเรื่อง นางเอกร่วมช่องจนแทบทำอะไรไม่ได้เลยทีเดียว ด็อกเตอร์เห็ด ขอประจานว่าอีคนนี้มัน แค้นฝั่งหุ่น ซะจริงๆ

จะต้องบอกว่าอย่างที่ข่าวดังเพิ่งซาไปเห็นจะเป็นเรื่องของ ผู้ชายเพื่อนสนิทของนางเอกสันดานไพร่ คนนี้ ที่สนิทสนมกันถึงกับควงกันไปดูคอนเสิร์ตที่เขาใหญ่ แต่พอเหล้าเข้าปากสันดานความเป็นคนดีก็หายไปเกลี้ยง ชีเริ่ม ปฏิบัติการอ่อยสวาท กับผู้ชายเกือบทั้งบาง แล้วก็ไปคุยกับคนนั้นคนนี้เพื่อหวังให้ผู้ชายหึง แต่ก็ได้ผลจริงๆ เมื่อผู้ชายหน้าโง่คนนี้ดันไปหาเรื่อง ผู้ชายหน้าหนา คนนั้น จนเกิดเรื่องราวชกต่อยกันเกิดขึ้นเพราะปัญหาแย่งชะนีคนเดียวกันนั่นเอง เกิดเหตุการณ์ ตะลุมบอน กันเกิดขึ้นแต่ก็ไม่เป็นข่าวเพราะว่าทั้งคู่ปิดข่าวไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นๆ ตามมาอีกทีหลัง

เรื่องเคลียร์กันได้ นางเอกสันดานไพร่ ดันสร้างเรื่องใหม่ให้วุ่นวายกันอีกแล้ว เมื่อนางเอกคนนี้ดันไปเที่ยวลั้นลากับผู้ชายตามประสา สาวเจ้าสำราญ แต่เหตุการณ์ระทึกขวัญก็เกิดขึ้น เมื่อนางเอกคนนี้ดันไปเจอ คู่อริคนเก่า สาวนอกวงการที่เคยเกิดกรณีทะเลาะเบาะแว้ง แย่งสาก อันเดียวกันมาแล้ว ระหว่างที่นั่งหม่ำข้าวอยู่นั้น สายตาของหล่อนก็ดันเหลือบไปเห็นคู่อริเข้าอย่างจัง ทำให้เก็บอารมณ์นางเอกไว้ไม่ไหว เดินเข้าไปหาเรี่องที่โต๊ะ คู่อริ อย่างสาดเสียเทเสีย ไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมเลยว่าในร้านคนเยอะหรือเปล่า

แล้ว นางเอกสันดานไพร่ ก็เดินไปหาเรื่อง ตะโกนด่า แบบสาดเสียเทเสีย ไม่ไว้หน้าว่านางคนนี้มากับใคร ด่าแล้วก็เดินเข้าไป กระชากคอเสื้อ ตบตีแบบไม่ไว้หน้า จิกหัวลากตบจนคนในร้านตกใจกันเป็นแถวเลยไม่นึกว่านางเอกคนนี้จะมี พฤติกรรมระยำ ได้ขนาดนี้เลยหรือนี่ นังเพื่อนสาว นิสัยทราม ที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยก็ วีนแตก ตามเพื่อนทันที เล่นบทเพื่อนนางเอกช่วยตบตีกันอย่างไม่ไว้ชีวิต พอตบตีจนสาแก่ใจแล้ว นางเอกสันดานไพร่ ก็สั่งการให้เพื่อนชะนีเข้าไปตบตีแทนอีกด้วย เอาเป็นว่า สาวนอกวงการคนนี้โดน ชะนีวงการบันเทิงรุม ใช้กำลังแทบปางตายเลยทีเดียว และ นางเอกสันดานไพร่ ก็เดินเข้าหาคู่กรณีขณะที่ สะบักสะบอม แล้วพูดใส่หน้าว่า

“เนี่ย.......คือผลงานของคนที่ชอบแย่งปั๋วชาวบ้านอย่างแก”


คำทำนายของสมเด็จ พุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

พุทธทำนาย เมื่อปี พ.ศ.2485 แปลจากศิลาจารึกในมหาวิหารเจตมหาเชตวัน


สาธุ อะระหังสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเมตตามหาสรรพสัตว์ทั่วโลก ที่เกิดมาแล้วแต่ลำบาก ทั่วหน้าทุกชาติ ทุกศาสนาตามธรรมชาติเมื่ออาตมาเข้านิพพานแล้วครบ 5000 ปีเป็นที่สุด โลกจะหมุนเข้าใกล้จำนวนที่ ตถาคตทำนายไว้ 2500 ปีมนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติเสียหนึ่งในระยะ 30 ปี สิ่งที่สาธุชนไม่เคยเจอะจะได้เห็น ไม่เคยพบจะได้พบ ยักษ์หินที่ถูกสาบให้หลับกลับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งนัก ใกล้กับ พ.ศ. 2550 ยิ่งทวีกันใหญ่ขึ้นทุกทิวาราตรี
มนุษย์นอกศาสนาจะรบราฆ่าฟันกันจนถึงเลือดตนเองนองเต็มพื้นดิน พื้นน้ำจะลุกลามเผามนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลาย เหมือนยักษ์ กระหายเลือด แผ่นดินจะลุกเป็นเปลวไฟ ต่างฝ่ายจะตายไปอย่างละครึ่งหนึ่งจึงจะล้มเลิก
ส่วนพุทธศาสนิกชน ผู้ทำแต่บุญเดินตามทางตถาคตสามารถระงับร้อนรุ่มรุนแรง แต่หนีภัยพิบัติไม่พ้น ไฟจะลุกลามทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม สมณะชีพราหมณ์ จะอดอยากยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเหล็กกล้าจะผุดจากน้ำ สงครามจะเกิดทั่วทิศ ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวสารจะขาดแคลน ทุกแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง สีเหลืองจะชนะ สีขาวจะแพ้ภัยในที่สุด ครุฑจะบินกลับฐาน คนจะกลับบำรุงพระ

คำเตือน
โลกมนุษย์กำลังเข้าสู่กาลียุค จะทำให้เกิดภัยธรรมชาติ จากดิน น้ำ ลม ไฟ จะเกิดมหาสงครามโลกครั้งที่สามตามมา มนุษย์จะตายไปกว่าครึ่ง
สำหรับประเทศไทย จะเริ่มตั้งแต่ปี 2550 คาดว่าจะได้รับภัยทางน้ำ และ ไฟ โดยเฉพาะจังหวัดที่ติดชายทะเล และกรุงเทพฯ แผ่นดินจะยุบตัวคลื่นน้ำจะพัดเข้าถล่มมีความสูงกว่า 200 เมตรมนุษย์จะล้มตายมากกว่าครึ่ง น้ำจะเข้าช่องแคบสระบุรี และทางด้านตอนล่างของโคราชบางส่วน ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ สุดท้าย ประเทศไทยจะเหลือประชากรประมาณ 30 %
ส่วนประเทศอื่นทั่วโลกจะเหลือเพียง 10% ประชาชนผู้รอดชีวิตส่วนมากจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไม่ปลอดภัยเหมือนเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนา เพราะไม่เข้าใจบำเพ็ญฌานภาวนา ฉะนั้นอย่าหลงใหลในทรัพย์สินของตนให้มากนัก เพราะเมื่อเข้าสู่ยุคศิวิไลเงินทอง จะไม่มีค่าเลยเพราะ มนุษย์ยุคนั้นจะเข้าวัดกันที่ความดี ศีลธรรม ปีมะโรง พ.ศ.2555 ปีมะเส็ง พ.ศ. 2556 ปีระกา พ.ศ.2560 พ.ศ.2561 ปีกุน พ.ศ.2562 คำทำนายของสมเด็จ พุทฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
รัชกาลที่ 1 ทายว่า มหากาฬ (ทำลายเพื่อน พี่น้อง)
รัชกาลที่ 2 ทายว่า ฌาณยักษ์ (ชำนาญเวทมนต์)
รัชกาลที่ 3 ทายว่า รักมิตร (มีการค้ากับต่างชาติมากมาย)
รัชกาลที่ 4 ทายว่า สนิทคำ (ออกบวช)
รัชกาลที่ 5 ทายว่า จำแขนขาด ( เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และเขมร เพื่อปกป้อง อธิปไตย)
รัชกาลที่ 6 ทายว่า ราชโจร (เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดกลุ่มโจรมากมาย มีการตั้งกองเสือป่าครั้งแรกของเมืองไทย)
รัชกาลที่ 7 ทายว่า ชนร้อนทุกข์ (เกิดการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย)
รัชกาลที่ 8 ทายว่า ยุคทมิฬ (พระเจ้าแผ่นดินถูกลอบปลงพระชนม์)
รัชกาลที่ 9 ทายว่า ถิ่นกาขาว (มีฝรั่งเข้ามามากมาย นำเงินมาซื้อประเทศไทยให้เกิดวิกฤตการเงิน)
รัชกาลที่ 10 ทายว่า ชาวศิวิไลซ์ (จะมีเหลือเฉพาะผู้ที่มีบุญเท่านั้นที่รอคอย เป็นยุคของพระศรีอริยเมตไตย)

" โลชังชม โทโพโส อินโกรุณา
พระอิทร์พรหม ยมราช ได้สั่งไว้ว่า ถ้าบุคคลใดได้รู้แล้ว จงรีบบอกต่อให้คนอื่นฟังหรือพิมพ์แจกตามกำลังศัทธา จะเกิดมหากุศลช่วยให้ท่านหลุดพ้นจากมหันตภัยพิบัติทั้งปวง ถ้าใครไม่มีไว้ในบ้านจะมีภูตผีปีศาจเข้ามาทำลายอย่างแน่แท้ ผู้ใดนำเรื่องไปพิมพ์แจก 1000 ใบ ภายใน 15-30 วัน ผู้นั้นจะมีโชคลาภ มีความสุข ความเจริญ คิดสิ่งใดสมปรารถนาทุกประการ และผู้ใดได้รู้ได้อ่าน อย่าคิดว่าเป็นการหลอกลวง หรือไม่เชื่อ และผู้ใดคิดจะพิมพ์แจก ก็ต้องพิมพ์แจกภายใน 15-30 วัน อย่าคิดพิมพ์ผัดวันประกันพรุ่ง หรืออ่านแล้วทิ้ง มันผู้นั้นจะมีเรื่อง และมีภัยพิบัติเกิดขึ้นกับผู้นั้น

คำคมดีๆที่เอามาเคาะหัวใจ

คำคมดีๆที่เอามาเคาะหัวใจ

"คาดหวังให้สูงเข้าไว้และแน่นอนว่าต้องเตรียมใจที่จะพบกับความผิดหวังด้วย"


"ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง"

"ถ้าเชื่อว่าไม่แพ้ เราก็จะไม่แพ้"

"คนเข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้"

"อุปสรรคล้วนเป็นยาขม ไม่มีใครอยากลิ้มลอง แต่ขึ้นชื่อว่ายาขม ส่วนใหญ่มักเป็นยาดีเสมอ"

"ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้ความสุขในคราวต่อมาเป็นความสุขที่แท้จริง"

"เพื่ออะไรกับการรอคอยที่ไม่มีความหมาย"

"ยิ่งบทเรียนยากขึ้นเท่าไหร่ ถ้าเราผ่านมันไปได้เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น"

"กุหลาบไร้หนามมีเพียงมิตรภาพเท่านั้น"

"อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ให้คำนึงถึงสิ่งที่กำลังทำ"

"แม้แต่นิ้วของคนเรายังยาวไม่เท่ากัน นับประสาอะไรกับความยั่งยืนของชีวิต"

"โลกใบนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ถ้าไม่ออกเดินทางก็ไม่มีวันค้นพบ"

"ไม่มีใครสะดุดภูเขาล้ม มีแต่สะดุดก้อนหินล้ม"

"ไม่มีใครเข้มแข็งตลอดไปและไม่มีใครอ่อนแอตลอดกาล"

"บางครั้งเราก็เหมือนคนตาบอดมีวิธีเดียวที่จะพาเรามุ่งหน้าไปได้คือการคลำทางเดินหน้าต่อไป"

"อย่าเกลียดน้ำตาเพราะมันคือเพื่อนแท้ อย่าเกลียดความอ่อนแอเพียงเพราะมันไม่ใช่ความเข้มแข็ง"

"มีเพียงชีวิตที่ทำเพื่อคนอื่นเท่านั้นที่ควรค่าแก่การมีชีวิ"

"ทุกอย่างมีค่าเสมอ อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ว่าไม่ควรจะทำมันอีก"

"คนฉลาดย่อมไม่นำแต่ตาม ย่อมไม่พูดแต่ฟัง"

"ทุกคนได้ยินในสิ่งที่คุณพูด แต่เพื่อนที่ดีที่สุดจะได้ยินแม้ในสิ่งที่คุณไม่ได้พูด"

"อวดโง่ดีกว่าอวดฉลาด"

"คนที่ว่าคนอื่นโง่ บุคคลนั้นโง่ยิ่งกว่า คนที่ว่าคนอื่นฉลาด บุคคลนั้นคือผู้ฉลาดอย่างแท้จริ"

"ฝันได้แต่อย่าหวัง"

"เรียนรู้ที่จะแพ้อย่างผู้ชนะ แล้วจะรู้จักกับคำว่าชัยชนะที่แท้จริง"

"นักปราชญ์ควรรู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด"

"ความยึดถือคือความเจ็บปวด"

"พระเจ้าไม่ได้รักเรามากกว่าคนอื่น และไม่ได้รักคนอื่นมากกว่าเรา"

"อุปสรรคคือแบบทดสอบของชีวิต"

"ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต"

"สิ่งร้ายๆจะมาพร้อมกับสิ่งดีๆเสมอ"

"โลกใบนี้ยังมีมุมดีๆให้มอง"

"ตัวเรายังไม่ได้ดั่งใจเรา แล้วคนอื่นจะเป็นได้อย่างไร"

"ถนนบางสายไกลหน่อยแต่ก็ยังมีวันถึง"

"แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง แต่งใจด้วยความดี"

"ความเจ็บปวดทำให้หัวใจแข็งแกร่"

"เดินคนเดียวอาจไม่รู้สึกดีอะไร แต่อย่างน้อยก็มีที่แกว่งแขนมากขึ้น"

"ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าเดิม"

"ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เพราะทุกปัญหาแก้ไขได้"

"ถ้าไม่ลองก้าวจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองวิ่งได้"

"ตึกสูงระฟ้ามาจากก้อนอิฐ"

"ใช้ชีวิตอยู่กับความจริง ยอมรับสิ่งที่เป็น มองเห็นข้อดีคนอื่น หยัดยืนด้วยขาตัวเอง"

"เราจะรู้รสชาติของความสุขก็ต่อเมื่อเราผ่านความทุกข์มาก่อน"

"ปัญหามีไว้แก้ และต้องแก้ด้วยตัวเองไม่ใช่ยืมมือคนอื่นมาแก้"

"จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์คือความเชื่อใจ"

"ทุกคนมีคุณค่าเพียงแต่มีโอกาสแสดงคุณค่าไม่เท่ากัน"

"บางทีการได้เจอปัญหามันก็ดีเหมือนกัน"

"สิ่งที่ผ่านมาแล้วจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก"

"ไม่ว่าใครจะตายหรือหายไป สุดท้ายโลกก็ยังหมุนต่ออยู่ดี"

"น้ำตาให้ได้แค่ความเห็นใจ"

"ในการที่จะเริ่มต้นทำสิ่งใดทุกครั้งควรคิดถึงจุดจบด้วย"


แจ๊ค สุขารมณ์ ตกที่สูงเสียชีวิตแล้ว (ไอเอ็นเอ็น)


สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น..


ช็อก! แจ๊ค สุขารมณ์ ตกที่สูงเสียชีวิตแล้ว

ช็อก! นพ. พรเดชา สุขารมณ์ หรือ แจ๊ค สุขารมณ์ นักร้องดังอดีตนักร้อง

ชื่อดังเจ้าของอัลบั้มเพลง “โซล เซิร์ชชิ่ง” ลูกชายของ นพ.เดชา สุขารมณ์

อดีต รมช.สาธารณสุข เสียชีวิตแล้ว หลังตกจากที่สูง ทำให้เส้นเลือดในสมองแตก

โดยขณะนี้ศพอยู่ศิริราช ทั้งนี้ทีมแพทย์เตรียมแถลงข่าวบ่ายวันนี้

รายงานข่าวแจ้งว่า แจ๊ค สุขารมณ์ กระโดดลงมาจากสะพานกรุงเทพ
ส่วนศพญาติเตรียมนำศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร


เรื่อง: สุทธิคุณ​ กองทอง ภาพ: พัฒนฉัตร มุลวงศ์ศรี





ภาพวันหวาน....

จัดงานแต่งงานแบบสบายๆ ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกริมแม่น้ำแคว จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2550 สำหรับคู่รัก "เชอรี่ - วีรินท์ อนันตพัฒนาวงศ์" โปรแกรมไดเรกเตอร์ และดีเจสาวคนเก่งแห่งคลื่น เวอร์จิ้น ซอฟท์103 กับคุณหมอนักร้องหนุ่ม "แจ๊ค - พรเดชา สุขารมณ์" ที่หวานใส่กันซะจนทำให้แขกที่มาร่วมงานเกิดอาการอยากแต่งงานขึ้นมาเลยทีเดียว

งานนี้มีแขกมาร่วมแสดงความยินดีกว่า 700 คน อาทิ คนบันเทิงอย่าง "โจ - จิรายุส วรรธนะสิน" "ก้อง - สหรัฐ สังคปรีชา" "ฟอร์ด - สบชัย ไกรยูรเสน" "เปิ้ล - พัชรา ดีล่า" "จุ๊บ - วุฒินันท์ ภิรมย์ภักดี" "โอ้ - เสกสรร ปานประทีป" "ตุ้ย - ธีรภัทร สัจจกุล" "ปู แบล็คเฮด" หรือ "อานนท์ สายแสงจันทร์" และ "บุญยอด สุขถิ่นไทย" รวมไปถึงบรรดาเพื่อนๆ ดีเจ เช่น "จอย - ชลธิชา นวมสุคนธ์" "อ้อน - ลัคนา หวงมณีรุ่งโรจน์" "เป้ - ธันยาอัณณ์ ตัณฑเสถียร" "โจ้ - สุวัชชัย แก้วพระอินทร์" "กัญจน์ พลสงคราม" และ "หนุ่ม - ธานินทร์ ธรพรรณ"

ฟอร์ด เพื่อนสนิทของทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ได้เป่าแซกโซโฟนพร้อมทั้งร้องเพลง "ตราบใด" ให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวได้ซาบซึ้งขณะปล่อยโคมยี่เป็ง ตามด้วยของขวัญพิเศษจาก แจ็ค มอบให้เจ้าสาวด้วยการร้องเพลงที่แต่งให้เป็นพิเศษ ทำเอา เชอรี่ น้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้ง ก่อนจะเป็นเวลาของความสนุกสนานที่เพื่อนๆ ทยอยกันร้องเพลงรักเพราะๆ ซึ้งๆ แทนคำอวยพรให้คู่แต่งงาน รวมถึงเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่คว้าไมค์ร้องเพลงคู่กันด้วย




รูปธรรมชาติสวย ๆ มาแล้ว









ดอกกุหลาบเป็นช่อ มาแล้ว @^_^@









Picture Aero India Show 2009