Google
 

08 สิงหาคม 2551

ค่าชีวิต ( ชัญวลี ศรีสุโข)

ตะวันลับฟ้าไปนานแล้ว ดวงจันทร์ดวงกลมโตประดับห้วงนภากาศยามรัตติกาล สาดแสงสีนวลปกคลุมโลกหล้า ยามค่ำเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินต่างง่วนอยู่กับการทำงานตามปกติ ทันใดนั้นรถกระบะคันหนึ่งเสียบพรวดเข้ามาหน้าประตูทางเข้าห้องฉุกเฉิน พร้อมมีเสียงคนร้องไห้โหยหวน

จริงอยู่ที่แพทย์พยาบาลประจำห้องฉุกเฉิน มักจะได้สัมผัสความเสียใจแสนสาหัสของญาติมิตรคนเจ็บคนตาย แต่วันนี้นอกจากเสียงร้องอันเสียดแทงหัวใจมนุษย์ปุถุชนธรรมดาแล้ว ยังมีเสียงแห่งความหวาดกลัวเจือปนมาด้วย

“อีเจียมมันคงนั่งสัปหงก” หญิงวัยกลางคนในชุดกรรมกร เสื้อผ้าเก่าขาด โพกหัวด้วยผ้าขาวม้า...เล่าขอบตาแดงๆ อย่างคนเพิ่งผ่านการร้องไห้ เธอหลุบตาลงไม่กล้ามองศพหญิงสาวที่นอบนเตียง อย่าว่าแต่เธอเลย ฉันซึ่งเป็นหมอมากว่าสิบปีก็ยังไม่อยากมอง “พวกเราก็ง่วง...หมอ งานหนักทั้งวัน ปวดเมื่อยทั้งเนื้อตัวดังโดนใครทุบ พากันนั่งหลับกันไปทั้งคันรถ”

ภาพรถกระบะบรรทุกคนงานก่อสร้าง นั่งเบียดเสียดยัดเยียดกันเต็มหลังรถ วาบขึ้นในมโนสำนึกของฉัน “อีแดงที่นั่งใกล้อีเจียมโวยวายว่าปิ่นโตหก น้ำแกงไหลเลอะเทอะไปหมด ฉันจึงคลำดูปิ่นโต ก็เห็นวางอยู่ดี เลยคำดูน้ำแกง เอามือมาส่องกับแสงจันทร์ จึงเห็นเป็นเลือดสดๆ” ผู้พูดทำหน้าสยดสยอง

“ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าใครเป็นอะไร ได้แต่ตบสีข้างรถให้หยุด เมื่อหยุดจึงรู้ว่าอีเจียมเป็นผีหัวขาดไปแล้ว” ฉันตรวจสภาพศพนางสาวเจียม หัวเธอขาดหายไป เหลือแต่ตัวและบางส่วนของคอ กระดูกต้นคอ หลอดลม หลอดอาหาร ขาดร่องแร่ง เศษเนื้อหนังรุ่งริ่งน่าขนลุก...วินิจฉัยสาเหตุการตายว่า...เพราะถูกของแข็งตัดหัวขาด...ฉันเขียนใบชันสูตรพลิกศพดังนั้น

เมื่อตำรวจมา พวกเขาวิทยุวุ่นวายให้ดักสะกัดรถที่ต้องสงสัย เข้าใจว่ารถคันนั้นคงสวนทางมาด้วยความเร็วสูง และขับชิดรถกระบะมากจนเกี่ยวเอาส่วนศีรษะของนางสาวเจียมที่นอนหลับหัวพาดกับขอบรถไป สองชั่วโมงต่อมาเอง ตำรวจก็ได้เบาะแส เนื่องจากมีเด็กปั๊มฯแจ้งว่า มีคนขับรถสิบล้อจอดรถลงฉี่และเติมน้ำมัน แต่แรกท่าทางก็เป็นปกติดี พอจะกลับขึ้นรถ เอามือโหนตรงประตู คนขับแสดงท่าตกใจสุดขีด คว้าบางสิ่งบางอย่างเสียบอยู่ที่ก้านกระจกรถขว้างลงมา และบึ่งรถหนีไป เด็กไปดูเห็นเป็นหัวผู้หญิง จึงรีบโทรศัพท์ตามตำรวจไปตรวจสอบ

เล่าเรื่องจบ ฉันเอ่ยปากถาม “ว่าไงครับลูก ถ้าหนูจะนั่งรถกระบะ หนูควรนั่งตรงไหน นั่งอย่างไร จะเอาหัวพาดเล่นที่ขอบรถกระบะหรือเปล่า ว่าไงครับ กล้า กลาง เกน” เท้าชะลอคันเร่ง เพื่อฟังคำตอบจากลูก... เป็นธรรมดาที่คนเป็นหมอมักมีเวลาน้อย ทุกวันอาทิตย์ฉันจึงปิดคลินิกเพื่อใช้เวลาอยู่กับลูกชายทั้งสามพูดคุนกับพวกเขา ขณะอยู่ในรถที่ขับไปส่งพวกเขาไปเรียนพิเศษ ฉันก็มักจะเล่าสถานการณ์จริง หรือบางทีก็สมมุติสถานการณ์ปลอมทดสอบการตัดสินใจของลูก คุณก็รู้...สังคมปัจจุบันนี้น่ากลัวสำหรับคนอ่อนด้อยประสบการณ์เพียงใด การสมมุติสถานการณ์ปัญหาให้ลูกตอบจึงเป็นทางรอดทางหนึ่งที่สามีและฉันยึดเป็นกลยุทธ์ทดสอบลูกทุกสัปดาห์ “การทำลูกนั้นมันไม่ใช่เรื่องยาก แต่การเลี้ยงให้ลูกไปตลอดรอดฝั่งนั้นเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งนัก” คนเป็นพ่อเป็นแม่ใครๆ ก็สรุปกันไว้ดังนี้

...เสียงตอบของลูกดังเซ็งแซ่...ลูกชายนี้เลี้ยงยากกว่าลูกผู้หญิงหรือเปล่าฉันไม่แน่ใจ แต่ลูกๆ ของฉัน วันที่อยากจะพูดกับกับแม่ก็แย่งกันพูด วันไหนไม่อยากพูดด้วย ก็เงียบกริบทั้งคันรถ ประเภทเอาช้อนมาแงะปากก็ยังไม่อยากพูด บ่นให้สามีฟังเขาก็ยิ้มๆ บอกว่า...ก็ลูกๆ ได้รับมรดกอารมณ์แปรปรวนมาจากแม่ของพวกเขาทั้งหมด

การทำพวงมาลาไปวางที่อำเภอในงานวันปิยมหาราชนี้นับว่าเป็นงานสำคัญของโรงเรียน ทางอำเภอจัดประกวดพวงมาลาประเภทสวยงามและความคิดทุกปี ปีนี้ครูนิรมิตรผู้รับผิดชอบทำพวงมาลา รู้สึกโล่งใจที่ทุกอย่างสำเร็จได้ทันเวลา หลังจากคณะครูระดมฝีมือประดิดประดอยดอกไม้เกือบทั้งคืน พวงมาลาของโรงเรียนจึงอยู่ในกรอบรูปสี่เหลี่ยมขนาดสองฟุตครึ่งคูณสามฟุต ประดับด้วยใบตองจีบเป็นรูปต่างๆ พวงมาลัยดอกไม้สดเรียงร้อยรอบรูปการเลิกทาสอย่างประณีต สวยงามและมีความหมาย อาจารย์นิรมิตรตรวจสอบขาตั้งพวงมาลา เสร็จแล้ว คณะครูช่วยกันดูความเรียบร้อยอีกครั้ง ครูบางคนเอากระป๋องฉีดน้ำมาฉีดใบตองและดอกไม้ให้ดูสวยสดอยู่เสมอ

“พิสันเธอช่วยขึ้นไปประคองพวงมาลาด้านหลังรถไว้นะ อย่าให้พวงมาลาปลิวลงมา เดี๋ยวครูจะบึ่งรถเอาไปตั้งไว้ที่จุดนัดพบกลางเมือง ช้าเดี๋ยวไม่ทันเวลาเคลื่อนขบวน”

ไม่ทันจะเจ็ดโมงเช้า ครูนิรมิตรเตรียมนำพวงมาลาไปวางที่จุดตั้งขบวนแห่ พิสันเป็นเด็กชั้น ป.หก ในชั้นเรียนครูนิรมิตรเอง เขาเป็นเด็กเรียนเก่ง เป็นหัวหน้าชั้นที่ขยัน เต็มใจช่วยเหลือกิจกรรมโรงเรียนทุกอย่าง “ครับ” พิสันวิ่งขึ้นหลังรถกระบะ มือประคองพวงมาลาอย่างแข็งขัน...

ใบหน้าซีดเซียวของครูนิรมิตรในห้องฉุกเฉินวันนั้น...เป็นสิ่งที่ฉันจำไม่ลืม ลูกผู้ชายอย่างครูร่ำไห้ขณะกราบพ่อแม่ของพิสันหลายครั้ง...อย่างสำนึกผิด เมื่อเด็กชายพิสันปลิวตกลงจากหลังรถพร้อมพวงมาลา หัวน็อกพื้นตายคาที่ พ่อแม่บอกต่อหน้าฉันว่า...ไม่เอาเรื่องครูใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเวรกรรมของเด็กเอง ลูกของเขาได้ปฏิบัติหน้าที่นักเรียนอย่างสมเกียรติในวาระสุดท้าย เล่นเอาฉันนิ่งอึ้ง คิดไปถึงลูกชายคนกลางซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผู้ตาย...นึกอยากร้องไห้ขึ้นมาทันที

เล่าเรื่องจบฉันเอ่ยปากถาม “ว่าไงครับลูก ถ้าครูบอกให้หนูช่วยถือป้ายที่มันอาจจะปลิวลมได้ที่ท้ายรถกระบะ หนูจะตอบครูว่าอย่างไร”

เด็กชายกล้าทำเฉยๆ เหมือนไม่ได้ยิน เด็กชายกลางมือกดเกมในมือดังติ๊กๆ ส่วนเด็กชายเกนอ่านหนังสือการ์ตูน ไม่ตอบคำถามใดๆ

“ว่าไงครับลูก” ถามซ้ำ เมื่อเห็นลูกยังไม่ตอบ ฉันเริ่มบ่น

“กลางอยู่ในรถอย่างกดเกมเล่นสายตาจะเสีย เกนอ่านหนังสือบนรถอีกหน่อยต้องใส่แว่นสายตารู้ไหม กล้าบอกน้องๆ สิลูกว่าถ้าคุณครูให้ถือป้ายท้ายรถ ทำให้นักเรียนมีโอกาสสูง...ที่จะตกลงมาคอหัก เด๊ดสะมอเร่ได้ กล้าจะตอบครูว่าอย่างไร”

“แม่ถามอย่างนี้อีกละ” เด็กชายกล้าชั้นม.สองบ่น “แม่จำไม่ได้หรือว่าวันก่อนแม่ก็ถามไปแล้ว กลางเขาก็ตอบแม่ไปแล้ว” เขาตอบอย่างหงุดหงิด ทำให้ฉันนึกออก ประมาณเดือนก่อน...ก็เหมือนกัน ครูให้เด็กซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์และหิ้วกรอบรูปไปด้วย เมื่อรถแล่นขึ้นเนิน เด็กไม่มีที่ยึด จึงหงายหลังตัวหลุดจากเบาะรถ ท้ายทอยฟาดพื้น ตายก่อนมาถึงโรงพยาบาล...ฉันได้เล่าสถานการณ์จริง ทดสอบความเตรียมพร้อมของลูกไปแล้ว

ฉันทำหน้าเคร่งขรึม แต่แอบขออภัยลูกในใจ อาชีพที่เป็นอยู่ พบเห็นโศกนาฎกรรมทุกวัน บางเรื่องเป็นเรื่องเศร้ามาก ติดค้างในใจ พาเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก...เพราะไม่อยากให้เด็กคนไหนต้องตกในสภาพเช่นนี้อีก “คุณยายทองทำไมคุณยายเพิ่งมาหาหมอเล่า

ตกเลือด...เป็นมาตั้งเกือบปีแล้ว สตรีผู้นั่งหน้าฉันเป็นหญิงชราอายุเจ็ดสิบปี ร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่นั่นเป็นเพียงภายนอก เพราะเมื่อฉันตรวจภายในพบว่ายายเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่สาม นั่นคือมะเร็งได้กระจายออกจากปากมดลูกลามไปที่เนื้อเยื่อข้างเคียงและช่องคลอดแล้ว

“เงินมันหายากนะหมอสมัยนี้” ยายไม่ตอบตรงๆ ขณะเด็กชายอายุประมาณสิบขวบที่มาด้วยค่อยๆ โผล่หน้าเข้ามาดูยายอย่างเป็นห่วง

“ไอ้หนู ไหว้หมอเสียสิลูก” เด็กชายหน้าตาน่ารักไหว้ฉันอย่างอ่อนน้อม

“หมอ...นี่หลานฉัน เลี้ยงเป็นลูก พ่อแม่พวกมันถูกรถชนตายเมื่อสองปีที่แล้ว มันเรียนเก่งนะหมอ ที่หนึ่งที่สองทุกเทอม ครูก็ชมว่าเป็นเด็กดี มารยาทเรียบร้อย ได้เป็นเด็กดีเด่นของโรงเรียน” ยายพูดไปไกล พาฉันกระสับกระส่าย มองดูคนไข้ที่นั่งรอนอกห้องตรวจอีกสิบคน แต่ก็ไม่กล้าขัดคอยาย ได้แต่หาจังหวะอธิบายเรื่องการรักษาโรคมะเร็งที่ยายเป็น

“คุณยาย เรื่องโรคมะเร็งปากมดลูก คุณยายเป็นมากพอสมควร ต้องไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ก็ได้ คงผ่าตัดรักษาไหวไหม คงต้องใช้วิธีฉายแสงรักษา หมอจะเขียนจดหมายเขียนประวัติส่งตัวคุณยายไป”

“แล้วจะหายหรือหมอ” ฟังคำถามนี้ฉันก็หนักใจ มะเร็งปากมดลูกมีสี่ระยะ ระยะที่สี่นั้นเป็นระยะร้ายแรงที่สุด ชาวบ้านว่ากันว่า...รักษาก็ตายไม่รักษาก็ตาย ส่วนระยะที่สามนี้ การพยากรณ์ของโรคก็ไม่ดี คนไข้โรคมะเร็งปากมดลูกระยะสาม หนึ่งในสามเท่านั้น ที่สามารถมีอายุยืนยาวเกินห้าปี

“ถ้าคุณยายไม่รักษา คุณยายอาจจะอายุสั้น ถ้ารักษาก็มีโอกาสหายขาดนะจ๊ะ” ฉันไม่บอกตรงๆ ว่า ถ้ารักษาและโชคดี ยายจึงมีโอกาสเป็นหนึ่งในสามคนที่มีอายุยืนต่อจากนี้เกินห้าปี

ยายลูบหัวหลานและยิ้มเห็นฟันเคลือบสีหมาก บอกฉันอย่างตัดสินใจ “ฉันว่าจะไม่รักษาละหมอ” “ไม่ได้นะคุณยาย ไม่รักษาไม่ได้” ฉันละลักละล่ำ จากความรู้และประสบการณ์ ทำให้รู้แน่นอนว่าโอกาสรอดชีวิต...ถ้ารักษานั้นมากกว่าถ้าไม่รักษาแน่นอน ความเป็นหมอทำให้รู้สึกใจหายมาก ถ้ายายจะปล่อยโอกาสทองของการรอดชีวิตนี้ให้หลุดลอยไป

“คุณยายไปรักษาเถอะนะคะ มีเพียงสตางค์ค่ารถเท่านั้นไปรักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ก็ได้ ค่ารักษานั้นยายไม่ต้องเสียสตางค์ เดี๋ยวหมอเขียนจดหมายส่งตัวให้ ยายสามารถใช้บัตรผู้สูงอายุได้” ฉันอ้อนวอน

“ฉันคงไม่ไปหรอกหมอ” ยายทองย้ำ ทำให้ฉันแทบเข่าอ่อนด้วยความเสียดายโอกาสรอดชีวิตของยายแทน

“ฉันตั้งใจไว้เช่นนั้น...คนข้างๆ บ้านเขาบอกฉันว่า...สงสัยยายเป็นมะเร็งภายใน เพราะตกเลือดกลิ่นแรง...ฉันก็มาตรวจ เพื่อให้รู้...หมอ...เงินทองเดี๋ยวนี้มันหายาก” ยายกอดหลานเข้ามาแนบตัว

“คนเราก็ต้องตายทุกคนแหละหมอ ถ้าฉันมัวแต่รักษาตัว ไม่ต้องอะไร ก็ต้องเสียค่ารถ ค่าอยู่ ค่ากิน ใครจะมาช่วยออกให้ฉันทุกอย่าง สู้ฉันเก็บเงินที่เหลืออยู่ ส่งให้หลานฉันเรียนไม่ดีหรือ ถึงฉันอยู่อีกไม่นาน ก็ยังพอมีเงินเหลือ แทนที่จะเอาไปรักษาตนเองหมด...เมื่อตายก็ยังมีเงินค่าฌาปนกิจของวัดช่วย...”

ฉันนิ่งอึ้ง ขณะยายทองพูดอย่างไม่เป็นห่วงตนเอง

“แต่...คุณยาย” ไม่ว่าจะชักแม่น้ำทั้งห้าอย่างไรก็ไม่เป็นผล ยายทองกลับไปด้วยคำพูดสุดท้าย พาฉันแทบสิ้นแรง

“หมอ...ชีวิตคนบ้านนอกไม่มีค่าอะไรหรอก ถ้าฉันตายแล้วทำให้ฉันได้เรียนจนจบ ฉันก็ยินดี” วันนี้ฉันไม่เอ่ยปากเล่าเรื่องใดๆ ด้วยเรื่องที่อยากจะเล่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับเด็กๆ เงียบงันกันไปทั้งคันรถเมื่อฉันขับไปเงียบๆ ไม่มีอารมณ์ยกสถานการณ์ใดๆ สอนลูกเหมือนดังเคย เด็กชายกล้าลูกคนโตเอ่ยถามลอยๆ ว่า “วันนี้แม่เป็นอะไร ตาแม่บวมๆ”

“สงสัยแม่จะเขียนนิยายไป ร้องไห้ไปมั้ง” เด็กชายกลางว่า เขาคุ้นเคยดีกับภาพที่ฉันนั่งร้องไห้โฮๆ กับแป้นพิมพ์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ในขณะที่กำลังอินกับบทบาทของตัวละครในเรื่องแต่งของตนเอง บางทีเขาก็วิ่งเข้ามาบอกว่า “แม่ระวังเครื่องคอมฯบ้านเราพังเพราะน้ำตาแม่หยดใส่นะ”

“ทำไมแม่ขี้แยจัง ไม่เหมือนพ่อ” เด็กชายเกนลูกชายคนสุดท้องว่า เขาอายุแปดขวบ เป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าข้างแม่ไม่ว่าเรื่องอะไร

“ไม่มีอะไรหรอกลูก...” ฉันบอกพวกเขา รู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ จนหยาดน้ำตาไหลลงร่องแก้ม “แม่...แม่...เพียงแต่รู้สึกว่า พวกหนูโชคดีที่ได้เรียนหนังสือ ลูกๆ รู้ไหม คนบางคนต้องลงทุนทั้งชีวิตเพื่อให้ลูกหลานของตนเองมีเงินเรียนหนังสือ”

ลูกชายทั้งสามคงไม่เข้าใจ เด็กชายเกนบ่นแต่ว่า “แม่...ถ้าแม่มัวแต่ร้อง เดี๋ยวเกนก็ไปไม่ถึงที่เรียนพิเศษหรอก”

ฉันซับน้ำตา มองไปเบื้องหน้า หมายมั่นว่า ถ้าลูกโตกว่านี้ เข้าใจโลกมากกว่านี้ ฉันจะเล่าเรื่อง “ค่าชีวิต” ของยายทองให้ลูกๆ ฟัง

ไม่มีความคิดเห็น: