Google
 

08 สิงหาคม 2551

“เมื่อฉันแก่ตัวลง”

อยากจะมอบเรื่องนี้ให้กับผู้ที่ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของลุกผู้ชายคนหนึ่งที่ตระเวนทั้งเรียนทั้งทำงานไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแม้เขาจะเติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้นโลกใบนี้เริ่มเล็กลง แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิม(ในเมืองจีน)ก็เริ่มแก่ตัวลงลูกคนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมายโชคดีต่อมามีไอพีการ์ด เลยได้คุยสดกันบ้างทุกครั้งแม่ก็จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเองตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆเพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง... ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆเขารู้ดีว่าแม่เริ่มคิดถึงเขามากจนกระทั่งปีนี้แม่อายุ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่โดยตั้งใจว่าจะอยู่สัก 1 เดือน จะไม่ทำอะไรเป็นพิเศษแต่ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียวพอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบแม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูกแม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียมแม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ ดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่...สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยพอกลับถึงบ้านตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้งแต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้งหน้าตาเหี่ยวย่น ช่างไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย...แม่ใช้เวลาทั้งชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบโดยที่หาทราบไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้วและเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆบางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย แม่หารู้ไม่ว่าเดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้วแต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริงๆสองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะจนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมากสอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น10กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่าปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม“เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆผมพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง โดยเฉพาะสายตา อาหารบางจานมีแมลงวันด้วยบางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิมครั้นผมพยายามชวนแม่ไปกินนอกบ้าน แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาดของแปลกปลอมเยอะ เมื่อผมบอกแม่ว่าจะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคนแม่ก็โวยวายว่า แม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้ผู้อื่นได้เลยผมเลยพูดไม่ออก พอผมจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วยทำเอาวันนั้นทั้งวัน พวกเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย...”“พอพวกเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัยแม่ก็จะหาว่าพวกเราเพี้ยน ผมก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่าแม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆบ้าง...ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆและรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่เราไม่เคยทะเลาะกันนะพอผมขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จาในตามีแววเหม่อลอย – โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ”“ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับแม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมา ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอกแม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศเมื่อผมเดินทางไปนอกทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้นๆแม่จะตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้ผมตอนที่ผมกลับมาแม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่นอกบ้านนอกเมืองต้องระวังตัวให้มากๆ ครั้งหนึ่งมีเรื่องคนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีนมีการปะทะกันด้วย แม่เป็นห่วงมาก ถามเพื่อนบ้านว่าจะส่งข่าวไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไรตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น”แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบากวางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่งมันหนักมาก ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะผมไม่อยากนำกลับไปมันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบากแม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย อ่านได้วันละ2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้ทันใดนั้นมีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมาแม่รีบเอื้อมไปหยิบ แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิมแม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเองผมรู้สึกเอะใจเลยถามว่า “แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ”แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้นแล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันทีผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดูมันเป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า “เมื่อฉันแก่ตัวลง”ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม2004 เป็นช่วงที่ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกทีบทความนั้นคัดมาจากนิตยสารฉบับหนึ่งของเม็กซิโกฉบับเดือนพฤศจิกายน ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที....เมื่อฉันแก่ตัวลงไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิดตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเองตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า ขอให้คิดถึงตอนแรกๆที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่างตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆที่เธอรู้สึกเบื่อขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน ตอนเธอยังเล็กๆฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ จนเธอหลับเลยตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลยนะยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ ฉันต้องทั้งออดทั้งปลอบเพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหมตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆอย่าหัวเราะเยาะฉัน จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม“ทำไม ทำไม”ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหมตอนฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหวขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉันเหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆหากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่ให้เวลาฉันคิดสักนิด ที่จริงสำหรับฉันแล้วกำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉันฉันก็พอใจแล้วตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลงไม่ต้องเสียใจ ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉันให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิตตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทางให้ความรักและอดทนต่อฉันฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจในรอยยิ้มของฉันมีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉันที่มีให้กับเธอผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบเกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ (ใจแข็งจริงไอ้หมอนี่) ตอนนั้น แม่เดินออกมา ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นตอนแรกแม่คงอยากให้ผมได้อ่านบทความนี้หลังจากผมกลับไปแล้วจึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไปตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป1 ตัว จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้าไปได้รู้สึกแม่จะดีใจมาก เหมือนกับว่าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภสำหรับผมและเหมือนกับว่าการที่ผมยอมรับหนังสือพิมพ์เหล่านั้นผมได้กลับมาเป็นเด็กดีของแม่อีกครั้งหนึ่งแม่ตามมาส่งผมจนถึงรถแท็กซี่เลยที่เดียวหนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมาเหล่านั้นไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่บทความ“เมื่อฉันแก่ตัวลง” บทนั้น ผมได้ตัดเก็บไว้ในกรอบเอาไว้ข้างตัวฉันตลอดไป

ไม่มีความคิดเห็น: