Google
 

08 สิงหาคม 2551

บะหมี่น้ำหนึ่งชาม

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว วันที่ 31 ธันวาคม 2528
ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่ร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโรการกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่นด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี "ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน ในวันนี้คนแน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง โดยปกติแล้วบนถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ เถ้าแก่ของร้าน "ฮอกไก" เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดีในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้านประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคนคนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้านเด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคนส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่า ๆ เชย ๆ

"เชิญนั่งครับ" เถ้าแก่ร้องทักทายออกมาหญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า"ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมค๊ะ"เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก"ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ"เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพงแล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่มทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่องสามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อยกินพลางพูดพลาง"ทานเถอะครับ" ลูกคนพี่พูด"แม่ทานหน่อยสิครับ"ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กินไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยนแล้วทั้งสามคนก็ชมว่า"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)"พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ)

สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปีวันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่าร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมาสองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง22.00น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้นประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคนพอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่า และเชยเถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง"ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยคะ""ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ"เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สองตะโกนไปพลางว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" เถ้าแก่รับคำพลางจุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง "ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า"นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ""ไม่ได้

ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย"สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่านเดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า"เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ"ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้สามแม่ลูก สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลางเสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย"หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริง ๆ ""ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว""ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยนแล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไปสองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่งในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมากสองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน

แต่พอเลย 21.00น.ไปแล้วสองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00น.พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไปพอคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียนไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลังแล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน"30นาทีก่อนเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว"ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สองเหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ22.30น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่งน้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัวเด็กทั้งสองคนโตขึ้นมากส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม"เชิญค่ะ เชิญค่ะ"เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจมองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ยทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า"รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ" "ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ"เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สองแล้วรีบเอาป้าย"จองแล้ว"ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า"บะหมี่น้ำสองชาม""ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ"เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อนสามแม่ลูกกินไปพูดไปดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมากสองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกันในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย"ลูกรัก

วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก""ขอบคุณ ?""ทำไมครับ""เรื่องเป็นอย่างนี้คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บและทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้นในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน""เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ"ผู้เป็นพี่ตอบส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆอยู่หลังโต๊ะทำอาหาร"แต่เดิมนั้นเเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคมแต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว""จริง ๆ หรือครับ แม่""จริงสิจ๊ะนี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหารทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีกจึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด""ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับแต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ""ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ไอ้น้องชายเราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ""ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ ""แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับคือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้องได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครองคุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่าเรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโดเพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อน ๆของน้องนะครับผมถึงทราบ ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง""จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ""หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า"น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความแล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย""เรียงความเขียนว่า

…หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหามรุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…""ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคมพวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำอร่อยมาก

…สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียวคุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีกแล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีกเสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไปพยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด…""ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วยแล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน…ขอให้มีความสุขครับ

…ขอบคุณครับ…"สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆก็หายตัวไปพวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้างพยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ"พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า"วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ ""จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรหล่ะ""ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีผมจึงพูดว่า

…ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดีน้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวันดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะอยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้านเมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร""เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชามผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อสักครู่นี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริงๆ ""หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกินกันสามคนนั้นผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยันและดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปีจ่ายเงินไปสามร้อยเยนกล่าวขอบคุณค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไปมองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆพร้อมกับกล่าวว่า "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่งพอถึงเวลา21.00น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย"โต๊ะจอง"ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอยการมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคยแต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลยปีที่สอง ปีที่สามโต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิมสามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลยกิจการของร้านฮอกไกดีมากเรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียวภายในร้านมีการตกแต่งใหม่โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม"นี่มันเรื่องอะไรกัน"ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขาเถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟังโต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่งและก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีกพวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขาโต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า "โต๊ะแห่งความสุข"ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไปมีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากินบะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลาย ๆ ปีพอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว

เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้านฮอกไกก็มักจะมารวมตัวฉลองโดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไกกินไปพลางก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลางแล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกันเป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้วในวันนี้พอเลย 21.30น.ไปแล้วเจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วยต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ เป็นระยะ บ้างก็เอาเหล้ามาบ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมาปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คนต่างก็คึกคักกันมากทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สองทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่าวันนี้"โต๊ะจอง"ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่งมันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิมพวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้า ๆออก ๆพอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไปพูดเรื่องการค้าบ้างคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลงในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุก ๆ เรื่องจนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกันเวลาผ่านไปจนถึง 22.30น.ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกันสายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้านชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากลพาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขนพอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลงและเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคักในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า"ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ"เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้นก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคนทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า"เอ้อ…รบกวน

…รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ"ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีเวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้วภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำกับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้าเธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกันเถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก "พวกคุณ .. พวกคุณ"เขาพูดได้เพียงแค่นั้นคำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับเถ้าแก่เนี้ยว่า"พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มาสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับและพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้นพวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้""หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้วตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโตปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว""วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัวแล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อและน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้นขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโตได้เสนอความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่าพวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโรและทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"สองตายายฟังไปพลาง

พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้าเถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตูพยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอแล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า "อ้าว…เถ้าแก่… เป็นอะไรไปหล่ะอุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้"โต๊ะจอง"ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไงรีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า"ยินดีต้อนรับค่ะ…เชิญนั่งข้างในค่ะ…นี่ตาเฒ่า…บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง"เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า"ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม"หากดูกันตามจริงแล้วสิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลยมันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อนคำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำรวมทั้งคำอวยพรว่า "ขอบคุณค่ะ(ครับ)สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"ก็เท่านั้นเองแต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์คับขับได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้งนิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า

---อย่าพยายามมองข้ามตัวเองตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจความห่วงใยอันจริงใจของคุณเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่างไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้ด้วยเหตุนี้ความหวังความใฝ่ฝันที่แรงกล้าของพวกเรา …เพื่อนพ้องทั้งหลาย …อย่ามัวเห็นแก่ตัวกันหรือเสียดายมันอยู่เลยหวังว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไปพวกเราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตาที่เราอัดเก็บไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนานนั้นมอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจจุดประกายแห่งความสว่างแก่โลก

….ถึงแม้จะเป็นแสงเพียงริบหรี่เท่านั้นแต่สำหรับคืนอันหนาวเหน็บอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาวมันเป็นประกายแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างอันสุกสกาวจริงๆไงจ๊ะ

…อ่านบทความนี้จบแล้วรู้สึกเมื่อยตาบ้างหรือเปล่าบริหารสายตาหน่อยกรอกตาซ้ายไปมา เสร็จแล้วก็หันมากรอกตาขวาหลังจากนั้นก็กรอกตาทั้งสองข้างพร้อม ๆ กันหากทำแล้วลูกตากระเด็นออกมานอกเบ้าแล้วล่ะก้อไม่ต้องมาหาฉันนะจ๊ะไปหาหมอเถอะ

…เรื่องนี้ตอนที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่นทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจมานับไม่ถ้วนแล้วดังนั้นจึงมีคนพูดกันว่า"ใครที่อ่านนิทานเรื่องแล้วไม่มีใครเลยที่จะไม่หลั่งน้ำตาให้"ถึงแม้คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปบ้างแต่ก็มีคนจำนวนมากที่ได้อ่านนิทานเรื่องนี้แล้วรู้สึกประทับใจจริง ๆจนน้ำตาร่วง และน้ำตาที่ร่วงรินเหล่านั้นมันไม่ใช่น้ำตาจากความรันทดใจแต่เป็นน้ำตาที่หลั่งให้แก่ความประทับใจต่อความห่วงใยอย่างจริงใจและน้ำใจไมตรีอันกว้างขวางที่มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ไม่มีความคิดเห็น: