Google
 

31 มีนาคม 2553

บ้านของคนเกิดปีต่าง ๆ

บ้านคนปีชวด (พ.ศ. 2527, 2515 และ 2503)
เพื่อ ความมั่งมีศรีสุข บ้านของคนปีชวด ควรมีเครื่องดนตรีอย่างน้อย 1 ชิ้น อยู่ในบ้าน เช่น ขลุ่ย เมาท์ออร์แกน เปียโน กีตาร์ ฯลฯ แม้จะเล่นไม่เป็น เพียงมีไว้ประดับบ้านก็ถือว่าถูกโฉลก นำโชคดีมาสู่ในบ้าน แต่ถ้าเป็นเครื่องดนตรีที่สมาชิกในบ้าสามารถเล่นได้จริงๆ หรือมีการเล่นร่วมดนตรีด้วยกันภายในครอบครัว เสียงดนตรีที่ดังขึ้นดุจดั่งเสียงสวรรค์ที่เรียกทรัพย์นับล้านเข้า สู่บ้านคนปีชวด

บ้านคนปีฉลู (พ.ศ. 2528, 2516 และ 2504)

เพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย บ้านของคนปีฉลู ไม่ควรมีอะไรที่เป็นทรงกลม ยกเว้นโต๊ะอาหารที่เป็นโต๊ะกลม ได้ นอกนั้นแล้วสิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้านควรเป็นเหลี่ยมเป็นมุมทั้ง หมด ตัวอย่างเช่น นาฬิการทรง 8 เหลี่ยม อ่างบัวทรง 5 เหลี่ยม กระถางต้นไม้ทรง 4 เหลี่ยม รวมไปถึงลวดลายของเหล็กดัด วอลล์เปเปอร์ ก็ควรเป็นรูปทรงเหลี่ยม หลีกเลี่ยงรูปวงกลมและรูปโค้งมนต่างๆ

บ้านคนปีขาล (พ.ศ. 2529, 2517 และ 2505)
เพื่อความเจริญ รุ่งเรือง เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านของคนปีขาล ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ เตียง ควรมีขนาดใหญ่กว่าปกติ หน้าบ้านควรมีต้นไม้ใหญ่ หรือ สัญลักษณ์ที่ใหญ่โตโดดเด่น อาทิ มีประตูหน้าบ้านบานใหญ่ มีโอ่งน้ำขนาดใหญ่ มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ เป็นต้น ในห้องรับแขกควรมีรูปภาพพระอาทิตย์ขึ้น ประดับไว้ จะช่วยเพิ่มพลังอำนาจ และบารมีให้มีมากขึ้นกว่าเดิม

บ้านคนปีเถาะ (พ.ศ. 2530, 2518 และ 2506 )

เพื่อความสุขและความสำเร็จ บ้านของคนปีเถาะ ควรเป็นบ้านที่มีความร่มรื่น ร่มเย็น มีสนามหญ้า ต้นไม้ ดอกไม้ อ่างบัว ตัวบ้านมีความโปร่งโล่งสบาย มีแสงแดดและแสงสว่างพอประมาณ ในห้องนอนหรือห้องรับแขก ควรมีตุ๊กตาเซรามิครูปกระต่าย รูปไก่ รูปไข่ รูปหมู รูปเด็กทารก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งร่ำรวย จะช่วยให้เงินทองไม่รั่วไหลไปไหน ได้ปรับเงินเดือน ได้เลื่อนตำแหน่ง ได้พบกับความสมหวังและสมปรารถนาทุกประการ

บ้านคนปีมะโรง (พ.ศ. 2531, 2519 และ 2507)

เพื่อความเป็นสิริมงคล บ้านของคนปีมะโรง ควรจะมีชื่อบ้าน โดยเป็นชื่อที่เป็นมงคลและถูกต้องตาม หลักทักษาของเจ้าของบ้าน ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะใช้ชื่อหรือนามสกุลของ เจ้าของบ้านมาเป็นชื่อบ้าน ซึ่งถ้าชื่อหรือนามสกุลถูกโฉลกอยู่ แล้ว ชื่อบ้านก็ย่อมจะดีตามไปด้วย ชื่อบ้านต้องมีความเหมาะสมสอดคล้อง กับลักษณะของบ้านและ ผู้อยู่อาศัย ห้ามขัดแย้ง หรือตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น บ้านทาสีฟ้าทั้งหลังแต่ตั้งชื่อบ้าน ว่าเรือนสีชมพู หรือ บ้านอยู่ติดภูเขา แต่ตั้งชื่อบ้านว่า บ้านริมทะเล ลักษณะอย่างนี้ถือว่าไม่เหมาะสมจะทำให้อับโชค พบเจอแต่อุปสรร คขวากหนามในการดำเนินชีวิต

บ้านของคนปีมะเส็ง (พ.ศ. 2532, 2520 และ 2508)
เพื่อความเจริญ รุ่งเรือง บ้านของคนปีมะเส็งต้องมีแสงสว่างอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ต้องให้ความรู้สึกว่าสว่างอยู่ตลอด เวลา โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ควรจะมีไฟภายนอกบ้านอย่างน้อยสัก 1 ดวงที่เปิดให้ความสว่างอยู่ตลอดคืนโดยเฉพาะไฟดวงไหนหากเปิดไว้ แล้วนอกจากจะให้ความสว่างแก่บ้านของเรา ยังให้ความสว่างและความปลอดภัยแก่ บ้านหลังอื่นและผู้ที่เดินทางผ่านไปมา ถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง บ้านมืดๆ จะนำภัยอันตรายและโชคร้ายมาสู่คนปีมะเส็ง

บ้านคนปีมะเมีย (พ.ศ. 2533, 2521 และ 2509)
เพื่อความเจริญก้าวหน้า บ้านของคนปีมะเมีย ต้องมีความเคลื่อนไหว เช่น มีธงโบกสะบัด มีน้ำพุ มีกังหัน มีโมบาย มีสุนัขหรือแมววิ่งเล่นกัน มีต้นไม้ใหญ่ที่โอนเอนตาม สายลมภายในบ้าน ก็ควรมีสัญลักษณ์ของความเคลื่อนไหวหรือความเร็ว เช่น รถยนต์โบราณ รถไฟ เรือใบ เรือสำเภา เครื่องบิน จรวด ฯลฯ เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งร่ำรวย บ้านที่สงบ นิ่งและเงียบเกินไป จะทำให้คนปีมะเมียอึดอับและอับโชค

บ้านคนปีมะแม (พ.ศ. 2534, 2522 และ 2510)
เพื่อ ความสุขและความสำเร็จ บ้านของคนปีมะแม ควรเป็นบ้านที่สะสมงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็น ภาพวาด ภาพถ่าย ภาพวิวทิวทัศน์ งานหล่อ งานปั้น งานแกะสลัก หนังสือ ซีดีเพลง ดีวีดีภาพยนตร์ ฯลฯ ล้วนถูกโฉลกและนำโชคดีมาสู่คนปีมะแม และถ้าผลงานศิลปะเหล่านั้น เป็นฝีมือของเจ้าของบ้านด้วยแล้ว จะยิ่งถูกโฉลกและโชคดีเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า

บ้านของคนปีวอก ( พ.ศ. 2523, 2511 และ 2499)
เพื่อความเจริญ รุ่งเรือง บ้านของคนปีวอก ควรเป็นบ้านที่มีการขยับขยาย เพิ่มเติม ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลาเพื่อให้สอดคล้องสมดุลกับผู้อยู่ อาศัย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นบ้านที่มีการเจริญเติบโตอยู่ตลอด เวลา ตัวอย่างเช่น มีต้นไม้ใหม่ๆ มาปลูกเพิ่มอยู่เสมอมีเฟอร์นิเจอร์ ใหม่มาทดแทนของเดิมที่ชำรุดเสียหาย มีเก้าอี้ม้าหินชุดใหม่มาตั้งแต่ เพิ่มในสวน มีการเปลี่ยนผ้าม่านใหม่ทุกๆ 2 ปี และทาสีบ้านใหม่ทุกๆ 3 ปี

บ้านของคนปีระกา (พ.ศ. 2524, 2512 และ 2500)
เพื่อความเป็นสิริมงคล บ้านของคนปีระกาต้องสวย สะอาด สดใส และดูใหม่อยู่เสมอ สิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้าน ควรจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย รั้วบ้านและอาคารภายนอกบ้านควรทาสีใหม่ทุกๆ 3 ปี ภายในบริเวณบ้าน ห้ามมีสิ่งของแตกหัก ชำรุด เสียหาย ใบไม้แห้ง ต้นไม้หรือกิ่งไม้ที่เหี่ยวเฉา โรยรา โดยเด็ดขาด รอยร้าวบนผนัง หากพบเจอต้องรีบแก้ไขในทันที หลอดไฟ กลอน กุญแจ ประตู หน้าต่าง ต้องพร้อมใช้งานอยู่เสมอ

บ้านของคนปีจอ (พ.ศ. 2525, 2513 และ 2501)
เพื่อความมั่งมีศรีสุข บ้านของคนปีจอ ควรจะมีสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสุนัข ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยง นำโชคของคนปีจอ เพราะความซื่อสัตย์และแสนรู้ของสุนัข จะช่วยให้คนปีจออารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใส สมองปลอดโปร่ง ไม่เครียด ดังนั้นไม่ว่าจะคิดหรือทำอะไรก็ล้วนแต่โชคดีมีความสำเร็จ สุนัขที่เลี้ยงไว้ไม่ควรเลี้ยงตัวเดียว ควรเลี้ยงตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป แต่ก็อย่าให้มากเกิน ควรให้เหมาะสมกับบริเวณบ้านและกำลังในการดูแล เอาใจใส่

บ้านของคนปีกุน (พ.ศ. 2526, 2514 และ 2502)
เพื่อความมั่งคั่งร่ำ รวย บ้านของคนปีกุน ต้องมีห้องครัวที่กว้างขวาง สะอาด สะดวก สบาย มีอุปกรณ์ในการทำครัวครบครัน เพราะการเข้าครัวทำอาหารของคนปีกุน ถือเป็นเรื่องมงคลนำมาซึ่งโชคลาภ ความสำเร็จ และความร่ำรวย และถ้ามีตุ๊กตาเซรามิครูปหมูสีขาวหรือสีชมพู สัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ วางไว้ในห้องรับแขกหรือห้องรับประทาน อาหารด้วย จะยิ่งถูกโฉลก โชคดี เฮง เฮง เฮง เพิ่มมากขึ้น

น่ารักแต่กินไม่ได้นะจ๊ะ (-ิ_*ิ)



















ขนมญี่ปุ่นน่าทาน ๆ มาแล้ว @^_^@













อุโมงค์มหัศจรรย์

คนจีนได้ชื่อว่ามีความพยายามที่สุดในโลก แต่นอกจากกำแพงเมืองจีนแล้ว มีใครทราบบ้างว่า


ที่มณฑลหูหนาน มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเพียรพยายาม เจาะภูเขาทั้งลูก หวังเปิดตาสู่โลกภายนอก





เรื่องราวของภูเขาลูกนี้เริ่มขึ้นเมื่อ ปี 1972 ที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่รายล้อม


ไปด้วยภูเขาสูงรอบด้าน จึงทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก

วันหนึ่ง เฉิน หมิงฉิน ผู้นำชาวบ้านวิสัยทัศน์ไกลเกิดความคิดที่ว่า เราต้องเจาะภูเขา


แห่งนี้ เพื่อเปิดประตูสู่โลกภายนอก มีหลายคนคัดค้าน และคิดว่าเขาบ้า





แต่ก็มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเห็นด้วย พวกเขาขายแพะที่มีอยู่ เพื่อนำเงินมาซื้อค้อนและ


อุปกรณ์เหล็กต่างๆ จากนั้นรวบรวมสมัครพรรค พวกชายฉกรรจ์ที่แข็งแรงได้ 13 คน


ขุดเจาะอุโมงค์ที่มีความยาวประมาณ 1,200 เมตร สูง 5 เมตร กว้าง 4 เมตร และ


เจาะหน้าต่างตลอดอุโมงค์ เพื่อเกลี่ยเศษหินทิ้งในระหว่างการก่อสร้าง





แต่ความสำเร็จใช่ว่าจะโรยด้วยกลีบ กุหลาบ ระหว่างการก่อสร้างอันยาวนาน 5 ปี


มีชาวบ้านเสียชีวิตไปหลายคน จนใน ที่สุด วันที่ 1 พฤษภาคม 1977 อุโมงค์นี้


ก็ได้เปิดทำการใช้สัญจรเป็นทางการ ครั้งแรกจวบจนปัจจุบัน.

Weekend Box Office Estimates (U.S.)

Weekend Box Office Estimates (U.S.)
Feb 26 - 28 weekend
This Wk Last Wk Title Dist. Weekend Gross Cumulative
Gross
Rlse
Wks
# of
Theaters
1 1 Shutter Island Paramount Pictures, Sony Pictures Releasing International (SPRI) $22,200,000 $75,076,000 2 3003
2 - Cop Out Warner Bros. Pictures Distribution $18,565,000 $18,565,000 1 3150
3 - The Crazies Overture Films $16,521,000 $16,521,000 1 2476
4 3 Avatar 20th Century Fox $14,000,000 $706,904,000 11 2456
5 4 Percy Jackson and the Olympians: The Lightning Thief Fox 2000 $9,800,000 $71,214,000 3 3396
6 2 Valentine's Day Warner Bros. Pictures Distribution $9,505,000 $100,358,000 3 3665
7 6 Dear John Sony Pictures Releasing $5,000,000 $72,624,000 4 3062
8 5 The Wolfman Universal Pictures $4,123,000 $57,244,000 3 3043
9 7 Tooth Fairy 20th Century Fox Distribution $3,450,000 $49,721,400 6 2249
10 8 Crazy Heart Fox Searchlight Pictures $2,540,000 $25,087,000 11 1089

กระเป๋าใส่ตังค์นะเนี่ย X-ิ_*ิX



















โลกแห่งวิศกรรม สร้างได้ทุกอ ย่าง













"มะนิลา" ไข่มุกแห่งบูรพา

โบสถ์มะนิลา
“ฟิลิปปินส์” หรือ “สาธารณรัฐฟิลิปปินส์” (Republic of the Philippines) เป็นประเทศหมู่เกาะที่มีเกาะถึง7,107 เกาะ เป็นอีกหนึ่งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงประเทศไทยของเรา ที่มีความน่าสนใจเดินทางไปเที่ยว โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบท่องเที่ยวเชิง ศึกษาประวัติศาตร์และวัฒนธรรม

ฟิลิปปินส์มีความโดดเด่นในเรื่องของวัฒนธรรมที่ได้ รับการถ่ายทอดเอาวัฒธรรมหลายอย่างมาจากสเปนและอเมริกาในยุคอาณานิคม มามาก ทำให้ฟิลิปปินส์มีความผสมผสานทางด้านวัฒนธรรมอันเป็น เอกลักษณ์เฉพาะที่รวมเอาทั้งความเป็นตะวันออกและตะวันตกเข้าไว้ ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน ซึ่งชวนเชิญให้น่าเดินทางไปสัมผัสและ รู้จักกับประเทศฟิลิปปินส์ให้มากขึ้น

โดยถ้าอยากจะมาเที่ยวและสัมผัสให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ และวัฒนธรมความเป็นมาของฟิลิปปินส์ ก็คงจะต้องเดินทางมายังเมืองหลวง ของฟิลิปปินส์ นั่นคือ “มะนิลา” (Manila) ตั้งอยู่บนเกาะลูซอน เดิมมีชื่อเรียกว่า “ไมนีลัด” เพราะมีต้นนีลัด ออกดอกสีขาวพราวไปหมด

ป้อมซานติเอโก
กรุงมะนิลา ถือว่าเป็นเมืองท่าที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำปาซิก (Pasig) เมื่อครั้งตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของ ประเทศสเปนได้รับสมญานามว่ "ไข่มุกแห่งบูรพา" (Pearl of the Orient) แต่ในปัจจุบันนี้มะนิลา เป็นเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลาง การค้า การอุตสาหกรรม รวมไปถึงการท่องเที่ยวที่สำคัญของฟิลิปปินส์ โดยมีที่สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าเที่ยวมากมาย ซึ่งฉันก็ขอเลือกที่จะพาไปเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ ที่ไม่ควรพลาดไปเที่ยมชมกัน

เริ่มจากขอพาไปเที่ยวย้อนสู่อดีตกาลสัมผัสกับความ เป็นฟิลิปปินส์เมื่อสมัยอยู่ในยุคอาณานิคมกันที่ “อินทรา มูรอส” (Intramuros) ริมแม่น้ำฟาร์ซิค ไรซัล (RizalPark) ถูกสร้างขึ้น เมื่อปีค.ศ. 1571 โดยกลุ่มชาวสเปนที่จะเข้ายึดครอง เม็กซิโกและเปรูที่มีผู้นำคือ Miguel Lopez de Legaz การสร้างนี้ก็เพื่อป้องกันการรุกรานจากกลุ่มโจรสลัดหลายๆกลุ่มทั้ง จีน ญี่ปุ่น ดัตช์ และโปรตุเกส อินทรามูรอสเคยถูกเปลี่ยนมือไปสู่การ ดูแลของอังกฤษในช่วงปีค.ศ. 1762 ก่อนที่สเปนจะตีคืนมาได้ในสองปีถัด มา และอินทรามูรอสก็ถูกเปลี่ยนมืออีกครั้งไปสู่สหรัฐอเมริกาในปีค.ศ. 1898 ก่อนที่จะถูกญี่ปุ่นเข้าทำลายและยึดครองในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2 หลังจากผ่านทั้งพายุ แผ่นดินไหว ไฟไหม้และสงคราม อินทรามูรอสก็แทบจะไม่เหลืออะไรและกลายเป็นเมืองร้างในช่วงระยะ เวลาหนึ่ง ก่อนที่ทางการจะยื่นมือเข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์จนมีสภาพดีขึ้น อย่างที่เห็นในปัจจุบัน และกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม

โบสถ์ซานอากุสติน
ภายในอินทรามูรอส (Intramuros) มีลักษณะเป็นป้อมปราการและกำแพงคูเมือง เป็นศูนย์กลางในการปกครอง การศึกษา วัฒนธรรม ศาสนา และการค้าในช่วงศตวรรษที่ 16 ถึงปลายศตวรรษที่ 19 ถูกสร้างเพื่อให้มีลักษณะเหมือนเมืองในสมัยยุโรปยุคกลางที่มีกำแพง ล้อมรอบ มีคูค่ายป้อมยามกั้นมิดชิด และความเจริญทุกอย่างก็กระจุกตัวกัน อยู่ภายใน ซึ่งภายในพื้นที่ประมาณ 395 ไร่ จะถูกล้อมรอบด้วยกำแพงหินสูง ด้านในประกอบไปด้วยที่อยู่อาศัย โบสถ์ โรงเรียน และสถานที่ราชการ รวมทั้งยังมีสถานที่ที่น่าชมอีกมากมากมาย

อย่างที่จะพาไปเที่ยวกันก็คือ “ป้อม ซานติเอโก” (Fort Santiago) เป็นป้อมปราการที่ถือว่าเป็นด่านแรก ที่ป้องกันการโจมตีจากข้าศึก ที่เข้ามาทางปากแม่น้ำปาซิกจากอ่าว มะนิลา ป้อมแห่งนี้ถูกทำลายจากการโจมตีของกองทัพสหรัฐ แต่ต่อมาถูกบูรณะซ่อมแซมเพื่อให้เป็นปูชนียสถานแห่งเสรีภาพ ซึ่งบริเวณรอบป้อมจะมีสวนหย่อมให้ได้เดินเที่ยวกันอย่างเพลิดเพลิน หรือถ้าใครกลัวเมื่อยก็มีรถม้าบริการให้นั่ง วิ่งพาชมความสวยงามรอบบริเวณ ซึ่งยังมีสถานที่คุมขังนักโทษ ที่อยู่บริเวณริมแม่น้ำปากแม่น้ำปาซิกให้ได้ชม

คาซา มะนิลา
จากป้อมซานติเอโก เดินทางมาชมความงามของ “โบสถ์ซานอากุสติน” (San Agustin Church) ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1599 ตามแบบสถาปัตยกรรมสเปน สร้างด้วยหินทั้งหลังมีความสง่างาม เป็นสิ่งปลูกสร้างหนึ่งเดียวภาย ในอินทรามูรอสที่ไม่ถูกระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ว่าได้สูญเสียหนึ่งในหอระฆังแฝดไปในแผ่นดินไหวปีค.ศ. 1863 และปีค.ศ. 1889 และโบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นถึงสามครั้ง ซึ่งสองครั้งแรกถูกไฟไหม้ไป

โบสถ์ซานอากุสติน มีความสวยงามสะดุดตาไม่น้อย ผนังโบสถ์ด้านหน้าชวนมองด้วยสไตล์ที่นำเสาดอริกเกลี้ยงๆ มารองรับหัวเสาแบบโครินเธียน บานประตูใหญ่แกะสลักเป็นรูปนักบุญออกุสติ นกับนักบุญโมนีกาผู้มารดาได้งดงามน่าทึ่งด้วยไม้ตีนนกเนื้อแข็ง ของฟิลิปปินส์ และใกล้ๆ กับโบสถ์ยังมีสำนักสงฆ์และพิพิธภัณฑ์ที่เก็บ สมบัติล้ำค่าไว้ให้ได้ชื่นชมกัน อาทิ โบราณวัตถุของฟิลิปปินส์ งานศาสนศิลป์ และเครื่องปั้นดินเผาของจีน สเปน และเม็กซิกัน

อนุสาวรีย์โฮเซ่ ไรซาล ที่สวนไรซาล
ถัดจากโบสถ์ซานอากุสติน มาเที่ยวอีกหนึ่งโบสถ์เก่าแก่ที่สำคัญของมะนิลา นั่นคือ “โบสถ์ มะนิลา” (Manila Cathedral) ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่ฟิลิปปินส์ เป็นอาณานิคมของสเปนเมื่อปีค.ศ. 1579 โดยพระประสงค์ของพระสันตะปา ปาเกรกอรี่ที่ 13 โบสถ์แห่งนี้มีอายุเก่าแก่มากกว่า 400 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการถูกเผา ไฟไหม้ แผ่นดินไหว และการทิ้งระเบิดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และ ปัจจุบันนี้ก็ยังคงตั้งตัวอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่าคู่กรุงมะนิลา ได้อย่างงดงาม เป็นศาสนสถานที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาตร์อัน น่าชื่นชม

เมื่อได้ชมโบสถ์สวยๆ กันจนอิ่มใจแล้ว มาเที่ยวกันต่อที่ “คาซา มะนิลา” (Casa Manila) ที่นี่เป็นย่านที่อยู่อาศัยของ ชนชั้นสูงชาวสเปนเมื่ออดีต ซึ่งถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ให้เป็นแหล่งท่อง เที่ยวทางประวัติศาสตร์ หากเดินไปตามถนนสายเล็กๆ สองฝากฝั่งถนนจะมีตึกทรง โบราณแบบสเปนที่สวยงามแปลกตาให้ได้ชม หากได้เดินเข้าไปชมภายในบ้านโบราณ จะเห็นความสวยงามของบ้านที่อวดไม้เนื้อแข็งสวยๆ ทั้งหลัง แถมด้วยหน้าต่างบานเลื่อนเปลือกหอยมุก และภายในบ้านมีการจัดแสดงห้องต่างๆ ไว้ มีการจัดเฟอร์นิเจอร์ที่จำลองวีถีชีวิตความเป็นอยู่จริงๆในสมัยนั้น ให้ได้ชมกัน ซึ่งเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ดูสวยงามมาก และยังมีห้องใต้ดิน รวมถึงมีลานสวนสวยๆให้ได้ยลกันด้วย

ภายในพิพิธภัณฑ์บาไฮชีนอย
หลังจากได้เดินชมความ สวยงามของย่านคาซา มะนิลากันแล้ว มาเดินเที่ยวออกกำลังกายขากันต่อที่ “สวนไรซาล” (Rizal Park) หรือเรียกอีกชื่อว่า “ลูเนตา” (Luneta) เป็นสวนหย่อมขนาดใหญ่ของกรุงมะนิลา และภายในสวนยังเป็นที่ตั้งของ “อนุสาวรีย์ โฮเซ่ ไรซาล” (Jose Rizal) ซึ่งเป็นผู้นำในการปลดแอกฟิลิปปินส์จากสเปนในช่วง ปีค.ศ.1896-1898 และในบริเวณเดียวกันก็เป็นจุดที่ฟิลิปปินส์ประกาศอิสร ภาพเหนือสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1941 และอนุสาวรีย์นี้ยังมีความสำคัญใน ฐานะเป็นหลักกิโลเมตรสำหรับนับระยะถนนทุกสายในเกาะลูซอนอันใหญ่โต ที่สุดของฟิลิปปินส์อีกด้วย

อุโมงค์ปลาที่โอเชี่ยนปาร์ค
เดินเล่นภายในสวนไรซา ลได้สูดอากาศบริสทธิ์จนเต็มปอดแล้ว ขอพาไปเที่ยวพิพิภัณฑ์กันที่ “พิพิธภัณฑ์บาไฮชีนอย” (Bahay Tsinoy) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนท้องถิ่น หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นชนเมืองจีน พื้นเมืองของชาวฟิลิปปินส์ก็ว่าได้ ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์ถูกจัดแสดง เรื่องราวต่างๆ ไว้หลายโซน โดยบอกเล่าเรื่องราวผ่านหุ่นจำลองมากมาย ได้อย่างน่าสนใจ เรียกว่ากลับออกไปได้รับความรู้ติดกายกลับไปด้วย

มาคาติย่านธุรกิขของมะนิลา
หลังจากที่ได้พาไปเที่ยวยัง สถานที่สำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์มาหลายที่แล้ว ขอเปลี่ยนบรรยากาศพาไปเที่ยวยังสถานที่สนุกสนานอย่างโลกใต้ท้องทะเล กันบ้างที่ “โอเชี่ยนปาร์ค” (Manila Ocean Park) เป็นโอเชี่ยนปาร์คขนาดใหญ่ ที่ด้านในจะได้สัมผัสถึงความเป็นอยู่อาศัย ของสัตว์ทะเลนานาชนิดหลากหลายสายพันธุ์ มีปลามากมายให้ได้ชมอย่างตื่นตา ตื่นใจ มีสัตว์น้ำแปลกๆ ที่หาชมได้ยาก รวมถึงยังมีแนวปะการังเทียมที่จัดแสดงไว้ได้อย่างเหมือนจริง และภายในโอเชี่ยนปาร์คมีจุดเด่นที่น่าสนใจอยู่ตรงที่ มีอุโมงค์ที่มีทางเดินยาวกว่า 25 ม. คล้ายกับที่สยามโอเชี่ยนเวิร์ด ห้างสยามพารากอนของไทยเรา ซึ่งภายในอุโมงค์นี้มีปลาจำนวนมากมายแหวก ว่ายไปมาให้ได้ชมกันแบบใกล้ๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาฉลาม ปลากระเบน

อินทรามูรอส
ครั้นได้ชมโลกของท้องทะเล กันอย่างเพลิดเพลินแล้ว ก็ขอเอาใจนักท่องเที่ยวที่ชอบชอปปิ้งกันสัก หน่อย โดยขอพามาที่ "มาคาติ" (Makati) แหล่งช็อปปิ้งที่มีชื่อเสียงและเป็นย่านธุรกิจชั้นนำของกรุง มะนิลา มีโรงแรมระดับ 5 ดาวมากมาย รวมไปถึงห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ หลายที่ ซึ่งสาวกนักชอปทั้งหลายจะได้เลือกซื้อของที่ระลึกทั้งสินค้าพื้นเมือง และสินค้าแบรนด์เนมอันหลากหลายกันได้แบบสบายใจ และที่เที่ยวทั้งหลายที่กล่าวมานี้ถือว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่ง ของสถานที่ท่องเที่ยวภายในกรุงมะนิลาที่มีมากมาย ซึ่งหากว่าใครมีเวลาท่องเที่ยวแบบสั้นๆ ไม่กี่วัน ฉันว่ากรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์เพื่อนบ้านของไทยเราก็น่าเดินทางมาเที่ยวไม่น้อย เลย